ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ admin@kruaklaibaan.com หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

weight loss! ^we try^

ห้องนี้สำหรับสมาชิกพูดคุย ปรึกษาปัญหาเรื่องสุขภาพค่ะ

โพสต์โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 7:45 am

ไขมันในอาหาร
ไขมันเป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่ ใช้ปรุงกลิ่นและรสสัมผัสในอาหารให้อร่อย น่ารับประทาน เราสามารถพบไขมันได้ทั้งในเนื้อสัตว์และพืช เช่น มันหมู, น้ำมันพืช, เมล็ดธัญพืช และ นม
ไขมันในอาหารที่เรารับประทาน ประกอบด้วย ไตรกลีเซอร์ไรด์เป็นส่วนใหญ่ (> 99%) และ คอเรสเตอรอลเป็นส่วนน้อยมาก (<1%) โดยเฉลี่ยอาหารที่เรากินเข้าไปจะมีไขมันผสมอยู่ 40 – 60 กรัม / วัน แต่เป็นคอเลสเตอรอลเพียง 0.3 – 0.4 กรัม / วัน เท่านั้น

ไตรกลีเซอร์ไรด์
ไตรกลีเซอร์ไรด์ ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ร่างกายมนุษย์ได้รับไตรกลีเซอร์ไรด์ส่วนใหญ่จากอาหาร และหากร่างกายใช้พลังงานจากอาหารไม่หมด พลังงานส่วนเกิน (ซึ่งก็คือ พลังงานที่ได้จากน้ำตาล และน้ำมัน) ก็จะถูกสะสมในรูปของไขมัน สะสมตามส่วนต่างๆ เช่น หน้าท้อง ต้นขา ฯลฯ
ไตรกลีเซอร์ไรด์ 1 โมเลกุล ประกอบด้วย กรดไขมัน 3 โมเลกุล และ กลีเซอรอล 1 โมเลกุล เสมอ

กรดไขมัน มีหลายชนิด สามารถแยกประเภทตามลักษณะโครงสร้างได้เป็น


i. กรดไขมันอิ่มตัว พบมากในไขมันสัตว์ แต่ก็สามารถพบได้มากในพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม และ trans-fat
ii. กรดไขมันไม่อิ่มตัว พบมากในน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ฯลฯ แต่ก็สามารถพบได้มากในสัตว์บางชนิด เช่น น้ำมันปลา

ไตรกลีเซอร์ไรด์ ในอาหารชนิดต่างๆ จะมีทั้งกรดไขมันอิ่มตัว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวผสมกันอยู่ ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน

ตัวอย่าง สัดส่วน กรดไขมันอิ่มตัว : กรดไขมันไม่อิ่มตัว ในอาหาร อาหาร กรดไขมันอิ่มตัว : กรดไขมันไม่อิ่มตัว
น้ำมันดอกคำฝอย 1:10
น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน 1:7
น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ 1:5
น้ำมันถั่วลิสง 1:4
น้ำมันปาล์ม 1:1
น้ำมันมะพร้าว 10:1

น้ำมันตับปลา 1:5
น้ำมันหมู ไข่ไก่ 1:2
นม 1:1


คอเลสเตอรอล
คอเลสเตอรอลพบเฉพาะผลิตภัณฑ์จากสัตว์เท่านั้น (ไม่พบในพืชเลย) ทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายใช้ในการสังเคราะห์ฮอร์โมนบางชนิด (ไม่ได้ใช้เป็นแหล่งพลังงาน) ร่างกายมนุษย์สามารถ สร้างคอเลสเตอรอลขึ้นเอง วันละประมาณ 1 กรัม และสามารถขับถ่ายคอเลสเตอรอลส่วนเกินผ่านทางน้ำดีออกมากับอุจจาระ แต่กลไกควบคุมสมดุลคอเลสเตอรอลในร่างกายจะเสียไป เมื่อคนนั้นเป็นโรคอ้วน มีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือเป็นโรคเมตาบอริซึ่มบางอย่าง
เมื่อกลไกควบคุมสมดุลคอเลสเตอรอลในร่างกายเสียไป จะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงผิดปกติและเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงตีบ

ความจริงที่มักเข้าใจสับสน
ไขมันในอาหารที่เรากินคือ ไตรกลีเซอร์ไรด์ > 99% และคอเรสเตอรอลประมาณไม่เกิน1% ฉะนั้นคอเลสเตอรอลที่ร่างกายต้องการ ส่วนใหญ่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง ไม่ใช่มาจากอาหาร
ไขมันจากพืช และไขมันจากสัตว์ ล้วนเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์ ให้พลังงานเท่ากัน และทำให้อ้วนได้เท่ากัน
ไตรกลีเซอไรด์ ในสัตว์ส่วนใหญ่มีสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัว:กรดไขมันไม่อิ่มตัว สูงกว่าไตรกลีเซอไรด์ ในพืช (ยกเว้น น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว)
หากต้องการควบคุมน้ำหนัก ต้องควบคุมการกินไตรกลีเซอร์ไรด์ ไม่ใช่ควบคุมการกินคอเรสเตอรอล
อาหาร cholesterol-free ไม่ใช่อาหารควบคุมน้ำหนัก (แต่มีความหมายนัยว่าไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์) อาหาร low-fat หมายถึง อาหารที่มี ไตรกลีเซอไรด์ไม่เกิน 3 กรัม / 1 หน่วยบริโภค (พอจะใช้ควบคุมน้ำหนักได้) อาหาร low-calorie หมายถึง อาหารที่ใช้ควบคุมน้ำหนัก และ มีพลังงานไม่เกิน 40 แคลอรี / 1 หน่วยบริโภค
การลดน้ำหนักตัวลง 10% ก็สามารถทำให้กลไกควบคุมสมดุลคอเลสเตอรอลดีขึ้น ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง


The contents belong to www.On-Diet.com
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 7:49 am

<span style='font-size:21pt;line-height:100%'>ตำราอาหาร
<a href='http://www.on-diet.com/menu.asp' target='_blank'>http://www.on-diet.com/menu.asp</a></span>


อิอิมีอีกอย่างค่า
ซุปครีมวอเธอร์เครสรสละมุน

ส่วนผสม 8 ที่

น้ำสต๊อกผัก 900 ซีซี
ขิงทุบ 1ช้อนชา
วอเธอร์เครส 300 กรัม
แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
ครีมเฟรเช่ชนิดไขมันต่ำ 125 กรัม
เกลือและพริกไทยดำ
ผิวมะนาวขูด (สีเหลืองนี่แหละค่ะ1-2เส้นเอง)

วิธีทำ
1ต้มน้ำสต๊อกให้เดือด ใส่ขิงกับวอเธอร์เครส
2เคี่ยว2นาที จากนั้นนำไปปั่นจนเนียน
3ตั้งกระทะผสมแป้งกับน้ำให้พอข้น จากนั้นเคี่ยวปรมาณ2นาทีจนเหนียว
4เติมครีมเฟรเช่ 75กรัม ปรุงรส เทใส่ถ้วยแก้ว
แต่งหน้าด้วยครีมเฟรเช่ที่เหลือกับมะนาวขูด


คุณค่าทางโภชนาการ ต่อ1 ที่
พลังงน 50แคลอรี โปรตีน 2 กรัม ไขมัน 3 กรัม ไขมันอิ่มตัว 1.5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม ไฟเบอร์ 0.5 กรัม น้ำตาล 1 กรัม เกลือ 0.5 กรัม
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย พัฒน์นรี » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 7:58 am

มาเยี่ยมจ๊ะ ช่วยนี้ยังอยู่ไทยอยู่ คงไม่ค่อยได้มาเยี่ยมกันบ่อยนัก สู้ฯ นะจ๊ะ
<a href='http://www.facebook.com/' target='_blank'><img src='http://a.imageshack.us/img830/482/40514961.gif' border='0' alt='user posted image' /></a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
พัฒน์นรี
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1463
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 27, 2006 3:04 pm

โพสต์โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 8:14 am

oly_kitty เขียน:  หากคุณกำลังค้นหาข้อมูลที่เชื่อถือได้ เกี่ยวกับวิธีการควบคุมน้ำหนักที่ถูกต้อง เราได้เก็บรวบรวม และ สรุปบทความทางวิชาการจากแหล่งอ้างอิงทางการแพทย์ ที่เชื่อถือได้ มาไว้ในเวบไซต์แห่งนี้แล้ว

<a href='http://www.on-diet.com/' target='_blank'>http://www.on-diet.com/</a>

อ้วน จากทำงานมากเกินไป
ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกิน ช็อคโกแล็ต และพวก โปเต้โต้ชิปส์ มากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆ น้อย ๆ ประมาณทุก ๆ 2 ชั่วโมงจะช่วยปรับ ระดับน้ำตาลในเลือด และลดการอยากกินของจุกจิก


;  ^  ; ทำได้แล้วเย้ๆ ขอบคุณ พี่ยายหนูหนะคะ

QUOTE 
อยากเฟิร์มประมาณนี้ค่ะ ตอนนี้กล้ามได้แต่ไขมันเพียบ...
<a href='http://www.youtube.com/watch?v=uXbZieD3Nms' target='_blank'>http://www.youtube.com/watch?v=uXbZieD3Nms</a> 


เห็นรูปร่างเธอเมื่อไร อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบต้นแขนของตัวเอง เริ่มแล้วค่ะ หัวไหล่ เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

ถ้าหนูป้อมต้องการคอมเม้นท์แค่บางข้อความ แต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร แนะนำให้ก็อปปี้ ข้อความนั้นๆ แล้วเอาไปวางในช่อง QUOTE หรือจะพิมพ์ขึ้นมาเองได้ แต่ต้องสองตัว ตัวแรกไม่มีขีด พอเอาข้อความวางเสร็จก็พิมพ์ /QUOTE ตัวที่สองปิดท้ายข้อความแต่ตัวนี้ต้องมีขีด แบบนี้นะคะ /QUOTEนะคะ วงเล็บด้วยนะ มันก็จะออกมาเป็นกรอบค่ะ เสร็จแล้วก็ทำข้อความที่จะคอมเม้นท์เพื่อนเรียงกัน ต่อไๆไป
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 8:40 am

เอามาฝากค่ะ (ส่วนตัว ชอบออกกำลัง+ควบคุมอาหาร มากกว่าผ่าตัดนะนี่ ก็ดีกว่าดมยาสลบตั้งเยอะ ...แก่ตัวไปก็ไม่หลงด้วย)

<span style='font-size:8pt;line-height:100%'>การผ่าตัดลดน้ำหนักแบบแบนดิ้ง (Adjustable Gastric Banding)

การผ่าตัดลดน้ำหนักแบบแบนดิ้ง (Adjustable Gastric Banding) ประกอบด้วยที่รัดกระเพาะที่ปรับเปลี่ยนขนาดกระเพาะได้ตามความต้องการคล้ายเข็มขัด เครื่องนี้ออกแบบมาเพื่อใช้กับวิธีผ่าตัดส่องกล้อง ทำด้วยซิลิโคนที่มีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 คล้ายเข็มขัดที่บังคับให้โป่งได้แฟบได้ใช้รัดบริเวณกระเพาะอาหารส่วนต้น

ส่วนที่ 2 เป็นสายยางซึ่งเป็นท่อติดต่อระหว่างส่วนที่ 1 กับส่วนที่ 3

ส่วนที่ 3 เป็นกระเปาะสำหรับฉีดน้ำเกลือหรือดูดน้ำเกลือออกจากภายนอกเพื่อปรับให้เข็มขัด(ส่วนที่ 1) โป่งหรือแฟบ ส่วนนี้ใช้วางอยู่ใต้ผิวหนังหน้าท้อง

ขณะนี้มีบริษัทที่ผลิตเข็มขัดซิลิโคนสำหรับรัดกระเพาะอาหารอยู่ 2 รายด้วยกัน คือ

1เข็มขัดรัดกระเพาะยี่ห้อ the Swedish Band โดยบริษัท Ethicon of Johnson & Johnson

2เข็มขัดรัดกระเพาะยี่ห้อ the LAPBAND โดยบริษัท Allergan (Inamed)



คลิคที่นี้เพื่อนัดพบศัลยแพทย์

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการพิสูจน์อย่างเป็นทางการว่าว่ายี่ห้อใดดีกว่าอาจกล่าวได้ว่าการผ่าตัดลดน้ำหนักแบบแบนดิ้งเป็นการผ่าตัดที่ปลอดภัยที่ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน

งานวิจัยบางรายพบว่าผลการลดน้ำหนักของการผ่าตัดแบบแบนดิ้งนั้นให้ผลใกล้เคียงกันกับการผ่าตัดแบบบายพาส หากแต่มีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า ในขณะที่งานวิจัยอื่นพบว่าการผ่าตัดแบบแบนดิ้งให้ผลที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง มีงานวิจัยบางรายพบว่าคนไข้ผ่าตัดแบบแบนดิ้งจำนวณมากที่มีอาการแทรกซ้อนในระยะยาว เช่น ปัญหาอุปกรณ์ เข็มขัดเลื่อนหลุด น้ำหนักไม่ลด จำเป็นต้องกลับมาทำการผ่าตัดอีกครั้ง การผ่าตัดเปลี่ยนจากการผ่าตัดแบบแบนดิ้งใช้ห่วงรัดกระเพาะมาเป็นการผ่าตัดแบบบายพาสนั้นสามารถทำได้ แต่เป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างยากและมีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าการผ่าตัดแบบบายพาสในครั้งแรก

ความเห็นของทีมศัลยแพทย์แอลบีเอสพบว่า การผ่าตัดแบบแบนดิ้งและการผ่าตัดแบบบายพาส มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนเท่าๆกัน โดยการผ่าตัดแบบบายพาสอาจมีภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการผ่าตัดและช่วงพักฟื้นที่โรงพยาบาล ในขณะที่การผ่าตัดแบบแบนดิ้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

<a href='http://www.weightlosssurgerythailand.com/gas-banding.html' target='_blank'>http://www.weightlosssurgerythailand.com/gas-banding.html</a>

แอลบีเอสอินเตอร์เนชั่นแนล (LBS International Ltd) คือ กลุ่มศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านผ่าตัดลดน้ำหนัก ผ่าตัดลดความอ้วน ผ่าตัดกระเพาะ ผ่าตัดเย็บกระเพาะ ผ่าตัด Bypass

ผ่าตัด Lap Band ผ่าตัด Swedish Band ผ่านกล้อง หรือ ที่เรียกว่า Minimally Invasive (Laparoscopic) Surgery ที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ กลุ่มศัลยแพทย์แอลบีเอสอินเตอร์เนชั่นแนลยัง เป็นผู้ที่ริเริ่มนำเอาเทคโนโลยี

การผ่าตัดลดน้ำหนักผ่านกล้องเข้ามาเป็น แห่งแรกของประเทศไทยและยังเป็นแห่งแรกของเอเชีย แปซิฟิกมาตั้งแต่ปีคศ. 2003

ปัจจุบันคนไทยและคนเอเชียประสบปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น สืบเนื่องมาจากคนไทยและคนเอเชีย

มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป จำนวนผู้ประสพปัญหาโรคอ้วนในทวีปเอเชีย นั้นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการสำรวจขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีจำนวน

ผู้ประสพปัญหา โรคอ้วนอย่างน้อย 400 ล้านคนทั่วโลก

ความอ้วนถือเป็นภาวะที่อันตรายต่อสุขภาพอย่างมากเพราะก่อให้เกิดโรคที่ร้ายแรงหลายโรคตามมา

เช่น เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง มีผู้ป่วยหลายคนที่พยายามจะลดความอ้วน หลายๆวิธี

เช่น ออกกำลังกาย ลดอาหาร รับประทานยาลดความอ้วน แต่ก็ยังไม่สามารถลดความอ้วนได้ ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ให้กับผู้ป่วยโรคอ้วน โดยวิธีการผ่าตัดลดความอ้วนซึ่งในต่างประเทศใช้กันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว



การผ่าตัดลดน้ำหนัก หรือ การผ่าตัดลดความอ้วน (Weight Loss Surgery หรือ Bariatric Surgery)ได้รับการยอมรับจากสถาบันทางการแพทย์และสถาบันสุขภาพชั้นนำทั่วโลก เช่น U.N., WHO, American Academy of Family Practice เป็นต้นว่าเป็นวิธีการรักษาโรคอ้วนที่ได้ผลมากที่สุด การผ่าตัดลดน้ำหนักนั้นยังช่วยรักษาหรือบรรเทาโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนได้ด้วย เช่นโรคความดัน, โรคเบาหวานประเภท 2, โรคคลอเรสเตอรอลสูง, โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ, โรคปวดข้อ เป็นต้น

การผ่าตัดลดน้ำหนักผ่านกล้องเป็นเทคนิคที่ถูกพัฒนาสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนที่ลองลดความอ้วนด้วยวิธี การต่างๆ มาแล้วแต่ไม่เป็นผล เทคนิคการผ่าตัดลดน้ำหนัก ผ่านกล้องนี้ได้รับความไว้วางใจ จากผุ้ประสพ ปัญหาโรคอ้วน ทั่วโลกมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว

ขณะนี้ท่านสามารถ ผ่าตัดลดความอ้วน เพื่อการลดน้ำหนัก โดยใช้เทคโนโลยีส่องกล้อง หรือที่เรียกว่า Laparoscopic Bariatric Surgery ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รับความไว้วางใจ จากผุ้ประสพปัญหาโรคอ้วน ทั่ว โลก ได้แล้วในประเทศไทยกับ ทีมศัลยแพทย์จากบริษัทแอลบีเอสอินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด ทีมศัลยแพทย์แอลบีเอสอินเตอร์เนชั่นแนล ได้เริ่มนำเทคโนโลยีผ่าตัดลดน้ำหนัก เพื่อการรักษาโรคอ้วน โดยการใช้กล้อง เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวของไทย และอีกทั้งยังเป็นแห่งแรกของเอเชีย มาตั้งแต่ปี &nsbp; &nsbp; พ.ศ. 2546 โดยใช้เทคนิค Gastric Bypass หรือ ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Roux en Y Gastric (RYGB) และ เทคนิค Gastric Banding หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Adjustable Gastric Banding (AGB) ซึ่งทั้ง 2 เทคนิค จะทำการผ่าตัดผ่านกล้อง ที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด แก่ผู้ป่วยน้อยมาก โดยศัลยแพทย์ จะกรีดแผลผ่าตัด เล็กๆ บริเวณหน้าท้องประมาณ 5-6 รู ซึ่งแต่ละรู จะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 – 1 เซนติเมตร จากนั้น จะใส่ กล้องและอุปกรณ์ ช่วยผ่าตัดชนิดต่างๆเข้าไป รวมไป ถึงอุปกรณ์ ถ่ายทอดสัญญาณมายังจอมอนิเตอร์ ซึ่ง ศัลยแพทย์ สามารถ เห็นภาพภายใน ที่ทำ การผ่าตัด อย่างชัดเจน โดยจะกระทำภายใต้การให้ยาสลบ

ข้อดี ของการผ่าตัดเพื่อการลดน้ำหนักโดยการใช้กล้องนี้
คือ บาดแผลเล็ก แผลมีการติดเชื้อน้อย มีความเจ็บปวดน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วภายใน 2 -3 วันเท่านั้น และ สามารถ กลับไปดำเนินชีวิตประจำวัน ได้ในระยะเวลา &nsbp; &nsbp; อันสั้นแต่ การผ่าตัด ดังกล่าวจะต้องทำโดยศัลยแพทย์ ที่ได้รับการฝึกฝน มาทางด้านนี้โดยเฉพาะ

LAPAROSCOPIC BARIATRIC SPECIALIST (LBS) หรือ ทีมศัลยแพทย์แอลบีเอส
คือ กลุ่มศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการผ่าตัดเพื่อการลดน้ำหนักโดยการใช้กล้อง ที่ได้รับการฝึก อบรมทางด้านการผ่าตัด เพื่อการรักษาโรคอ้วนโดยการใช้กล้อง โดยใช้เทคนิค Gastric Bypass หรือ Roux en Y Gastric (RYGB) และ เทคนิค Gastric Banding หรือ Adjustable Gastric Banding (AGB) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีวิทยาการทางการแพทย์ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก

ข้อบ่งชี้ของการผ่าตัดลดน้ำหนัก คือ
การผ่าตัดลดน้ำหนักเพื่อรักษาโรคอ้วน โดยใช้เทคโนโลยีส่องกล้อง หรือ (Laparoscopic Bariactric Surgery) เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วน หมายถึง ผู้ที่มีดัชนีมวลร่างกาย หรือ ค่า Body Mass Index (BMI) เท่ากับหรือมากกว่า 35 ขึ้นไป!!

ดัชนีมวลร่างกาย หรือ Body Mass Index (BMI)
คือน้ำหนักตัว (เป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เป็นเมตร) ยกกำลัง2 เช่น ถ้าคุณหนัก 90 กก. และมีความ สูง 1.58 เมตร คุณจะมีดัชนี BMI = 90 ÷ (1.58)² = 36

ถ้าค่า BMI ที่เท่ากับ 25-29.9 ถือว่าไมอ้วนทางการแพทย์
ถ้ามีค่า BMI ที่ 30-34.9 ถือว่าเป็นโรคอ้วนหรือ obesity
ถ้ามีค่า BMI เท่ากับหรือ มากกว่า 35 ถือว่าอ้วนมาก หรือ Morbid Obesity ซึ่งสามารถเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วนกับทีมศัลยแพทย์จากบริษัทแอลบีเอส อินเตอร์เนชั่นแนลได้


เทคนิคการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วนที่ทีมศัลยแพทย์จากบริษัทแอลบีเอสอินเตอร์
เนชั่นแนล แนะนำ มี 2 วิธี
เทคนิคที่ 1. Roux en Y Gastric (RYGB) หรือ Gastric Bypass
คือ เป็นการผ่าตัดที่ทำกันมาก และประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยอันดับแรกศัลยแพทย์ จะใช้ตลับ ลวดแบ่งกระเพาะอาหารเป็น 2 ส่วน กระเปาะกระเพาะใหม่จะมีขนาดเล็กทำให้รับอาหารได้ไม่มาก จาก นั้น ศัลยแพทย์จะเอาลำไส้เล็กลัดคิวหรืออ้อมผ่าน (bypass) โดยมาต่อเข้า กับกระเปาะกระเพาะ อาหาร ที่มี ขนาดเล็กดังกล่าว ทำให้อาหารไม่ผ่านกระเพาะอาหารกระเปาะใหญ่ ผลก็คืออาหาร และแคลอรีจะดูด ซึม เข้าสู่ร่างกายลดลง

(1) กระเปาะเล็กของกระเพาะอาหาร
(2) กระเปาะใหญ่ของกระเพาะอาหาร
(3) หลอดอาหาร
(4) ตลับลวด
(5) สายรัด
(6) ลำไส้เล็กส่วนดูโอดีนัม

เทคนิคที่ 2 Gastric Banding หรือ Adjustable Gastric Banding (AGB)
คือ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร โดยใช้ที่รัดกระเพาะ ที่ปรับเปลี่ยนขนาดกระเพาะ ได้ตามความต้องการ เครื่องนี้ออกแบบมาเพื่อใช้กับวิธีผ่าตัดส่องกล้อง ทำด้วยซิลิโคนที่มีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 อุปกรณ์คล้ายเข็มขัดนี้ จะถูกรัด เข้ากับส่วนต้นของกระเพาะอาหาร, ส่วนที่ 2 เป็นสายยาง ซึ่งเป็นท่อติดต่อ ระหว่างส่วนที่ 1 กับส่วนที่ 3, สำหรับส่วนที่ 3 เป็นกระเปาะสามารถ ปรับได้โดยใช้เข็มแทงเพื่อดูดน้ำเกลือ ออกจากภายนอกเพื่อปรับให้เข็มขัด(ส่วนที่ 1)โป่งหรือแฟบ ส่วนนี้ใช้วางอยู่ใต้ผิวหนังหน้าท้อง

(1) หลอดอาหาร
(2) กระเปาะกระเพาะอาหารที่สร้างขึ้นใหม่
(3) สายรัด
(4) ลำไส้เล็กส่วนดูโอดีนัม
(5) กระเพาะอาหาร


อ่านกันแล้วมาดูภาพกันดีกว่าค่ะ เนี่ยเหมาะกับคนที่อ้วนมากๆๆๆๆๆ
(กลัวเจ็บตัว ....อีกอย่างน้ำหนักไม่มากจริงหมอเขาไม่ทำให้แน่(คิดว่าการผ่าตัดดน่ากลัวอ่ะ))

<a href='http://www.youtube.com/watch?v=4860dLc2mF8' target='_blank'>http://www.youtube.com/watch?v=4860dLc2mF8</a>



<a href='http://www.youtube.com/watch?v=-GSFbU7itF4&NR=1' target='_blank'>http://www.youtube.com/watch?v=-GSFbU7itF4&NR=1</a>

<a href='http://www.youtube.com/watch?v=W88n0mYpvfo' target='_blank'>http://www.youtube.com/watch?v=W88n0mYpvfo</a>


<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>ประสิทธิภาพของการผ่าตัด
สามารถลดน้ำหนักได้มาก ถ้าผู้รับการผ่าตัดมี BMI > 40

ความเสี่ยงจาการผ่าตัด
อัตราการตาย เช่นเดียวกับการผ่าตัดใหญ่ในช่องท้องทั่วไป
อัตราการเกิดโรคแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ประมาณ 10% (เช่น แผลแยก ติดเชื้อ เป็นต้น)

โดยปกติ แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดให้เป็นทางเลือกสุดท้าย เฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยอ้วนมาก, รักษาด้วยวิธีอื่นๆแล้วยังไม่ได้ผล, และหากปล่อยให้ผู้ป่วยอ้วนต่อไปจะเป็นอันตรายมากกว่าการไม่ผ่าตัด

<a href='http://www.on-diet.com/bariatric.asp' target='_blank'>http://www.on-diet.com/bariatric.asp</a></span></span></span>
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 2:49 pm

อาหารต้านเซลลูไลท์

ใครที่ไม่อยากให้ผิวมี เซลลูไลท์ มากเกินไป วันนี้เกร็ดความรู้มีอาหารต้าน เซลลูไลท์ มาบอกกัน….

เซลลูไลท์ คือ ผิวหนังที่ขรุขระคล้ายผิวเปลือกส้ม เกิดจากสาเหตุุสำคัญคือ เซลล์ไขมันที่สะสมตัวเป็นก้อนอยู่บริเวณใต้ชั้นหนังแท้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่าง ผิดปกติ จนทำให้ผนังหุ้มเซลล์เกิดการบิดเบี้ยวเพราะถูกดึงรั้งอยู่ใต้ผิวหนัง และเกิดเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำคล้ายผิวของเปลือกส้มที่อาจมองเห็นได้ชัดเจนจาก ผิวหนังชั้นนอก
รับประทานอาหารกระชับผิว
เน้นรับประทานผัก ผลไม้สดให้มาก ๆ เพราะวิตามินซีและวิตามินอีนั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น
เสริมสร้างการไหลเวียนของโลหิต
การรับประทานอาหารที่มี กรดไขมัน รวมทั้งน้ำมันปลา ถั่ว และเมล็ดพืช ก็ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตได้
รับประทานอาหารโปรตีน ไขมันต่ำเป็นประจำ
เซล ลูไลท์เป็นเซลล์ที่สะสมของเหลวได้มากกว่าเซลล์ทั่วไป จึงมีทั้งของเหลว ไขมัน และสารพิษอยู่ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองไม่คล่องตัว ซึ่งสารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่วสามารถช่วยลด ระดับของเหลวนี้ได้ และควรจะลดอาหารเค็มควบคู่กันไปด้วย
ลดอาหารมันและหวาน
อาหาร ทั้งมันและหวานจะเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และยิ่งเป็นอาหารที่มันเยิ้มและหวานเจี๊ยบก็ยิ่งจะไปเพิ่มแคลอรีให้กับร่าง กายด้วย ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
ถ้าไม่อยากให้ผิวมี เซลลูไลท์ มากเกินไป ก็ลองหันมารับประทานอาหารที่แนะนำกันดูนะคะ.
ที่มา : sodazaa
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 2:52 pm

การกินผลไม้อย่างถูกวิธี โดย GossipZa.com

วันนี้ตาจะนำเอาการกินผลไม้อย่างถูกวิธีมาบอกเล่าให้อ่านกันนะคะ
ทุกคนคงคิดว่าการกินผลไม้คงง่ายแค่นิดเดียว แค่ซื้อผลไม้มาแล้วก็ปอกเปลือก
หรือกินล้างน้ำแล้วก็กินไปแค่นั้นเอง จริงๆแล้วมันไม่ใช่วิธีที่ถูกเลยนะคะ
การกินที่ถูกคือ เมื่อเราจะกินผลไม้ควรกินตอนท้องว่าง ไม่ใช่กินหลังอาหารอย่างที่เราทำกันเป็นประจำนะคะ
ถ้าเรากินผลไม้ขณะท้องว่าง มันจะช่วยในการล้างพิษจากร่างกาย ให้พลังงานสำหรับช่วงลดน้ำหนักได้ดีเลยค่ะ
ผลไม้เป็นอาหารที่สำคัญที่สุดเลยนะคะ เวลาเรากินขนมปังแล้ววกินผลไม้ตามหรือเปล่าคะ
เพราะเนื่องจากผลไม้มันย่อยเร็วกว่าขนมปังค่ะ ผลไม้เป็นชิ้นจะถูกย่อยอย่างรวดเร็วและไหลผ่านกะเพาะไปสู่ลำไส้
แต่เส้นทางของมันจะถูกขวางไว้โดยขนมปังที่เรากินไปก่อนหน้านี้แล้วนะสิคะ เพราะขนมปังมันใช้เวลาย่อยนานกว่าผลไม้ค่ะ
เมื่ออาหารทั้งหมดผ่านกระบวนการหมักและเปลี่ยนสภาพเป็นกรด แล้วผลไม้สัมผัสกับอาหารในกะเพาะและน้ำย่อย
อาหารทั้งหมดก็เริ่มบูดเสีย ฉะนั้นเราจึงควรกินผลไม้ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่างจึงจะดีกว่านะคะ
เวลากินผลไม้เคยมีอาการเหล่านี้ไหมคะ
- เรอทุกครั้งที่กินแตงโม
- กินกล้วยแล้วรู้สึกอยากไปห้องน้ำ
- กินทุเรียนแล้วกะเพาะพองขึ้น เป็นต้น
นั้นคือสาเหตุุของการที่เรากินผลไม้หลังอาหาร เมื่อผลไม้รวมตัวกับอาหารอื่นที่ถูกย่อย
ทำให้เกิดแก๊ส แล้วทำให้เรารู้สึกแน่น!!
แล้วอาการหงุดหงิดเป็นกังวล รอยคล้ำใต้ดวงตา ผมหงอก หัวล้าน ทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นค่ะ
ถ้าเรากินผลไม้ตอนช่วงท้องว่าง หรือกินก่อนอาหารค่ะ
การดื่มน้ำผลไม้ ก็ควรจะดื่มน้ำผลไม้สดเท่านั้นนะคะ ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้กระป๋อง
อย่าดื่มน้ำผลไม้ที่ผ่านจากความร้อน อย่ากินผลไม้ที่ถูกปรุงแต่งเป็นอาหารนะคะ
เพราะเราจะไม่ได้คุณค่าทางอาหารเลยนะสิคะ เราจะได้แต่เพียงรสชาติเท่านั้นเอง
การนำเอาผลไม้มาปรุงเป็นอาหาร จะทำลายวิตามินที่เราจะได้รับทั้งหมดเลยค่ะ
เช่น พวกมันทอด เผือกทอด ทุเรียนทอด กล้วยทอด เป็นต้นค่ะ
ดังนั้น การกินผลไม้ทั้งลูกหรือเนื้อผลไม้ จะดีกว่าการดื่มน้ำผลไม้ค่ะ
เพราะเส้นใยจากเนื้อผลไม้จะดีมากสำหรับเรานะคะ
ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้ ควรจะดื่มช้าๆทีละคำค่ะ เพื่อให้น้ำผลไม้รวมกับน้ำลายของคุณ
ก่อนจะกลืนลงไปนะคะ
การกินแต่ผลไม้อย่างเดียว เป็นเวลา 3 วัน เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากในการทำความสะอาด
และล้างพิษในร่างกายของเราเลยนะคะ
เพียงเรากินแต่ผลไม้และดื่มน้ำผลไม้ตลอด 3 วัน เราจะแปลกใจเมื่อเพื่อนทักเราว่า
เธอดูสดใสจัง!
เราสามารถกินผลไม้ได้หลากหลายในเวลาต่างๆนะคะ แม้แต่สลัดผลไม้ก็เป็นเมนูที่ดีเลยทีเดียวค่ะ
ถ้าหากเรากินผลไม้อย่างถูกวิธีเป็นประจำ เราก็มีเคล็ดลับของความงาม สุขภาพ พลังงาน อายุยืน ความสุข
และน้ำหนักตัวที่เป็นปกติค่ะ ดังนั้นเรามากินผลไม้อย่างถูกวิธีกันดีกว่านะคะ
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 2:56 pm

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>

<span style='color:red'>การล้างพิษ หรือ detoxify ในภาษาอังกฤษ แปลว่าการขับเอาสารที่เป็นพิษออกจากร่างกาย แต่ การล้างพิษไม่ได้หมายความว่าให้เอาสารอะไรไปล้างอะไร แต่ใช้วิธีส่งเสริม หรือเร่งให้ร่างกายขับล้างพิษออกไปให้มากกว่าปกติ การล้างพิษมีหลายวิธี วิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือ การอด

คําว่า อด โดยคําจํากัดความแปลว่า กินให้น้อยกว่า 800 แคลอรี่ต่อวัน ดังนั้นการอดจึงมีหลายวิธี จะกินผลไม้ทั้งวัน ดื่มน้ำผลไม้ทั้งวัน หรือกินผลไม้ และดื่มน้ำผลไม้ทั้งวันก็ได้ ดื่มน้ำเปล่าๆ ทั้งวันก็ได้ หรือจะไม่กินอะไรเลยทั้งวันก็ได้ แต่ถ้าหากคุณจะเริ่มอด แนะนําให้ใช้วิธีกินผลไม้อย่างเดียว และแนะนําให้อดเพียงวันเดียว(24 ชั่วโมง)

<span style='color:green'>เริ่มต้นจากให้เลือกผลไม้ที่ชอบมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ยกเว้นทุเรียน น้อยหน่า ลําไย ลิ้นจี่ ขนุน เพราะผลไม้เหล่านี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง จะทําให้ระบบย่อยไม่ได้พักอย่างเพียงพอ รวมทั้งไม่ควรเลือกสับปะรด เพราะอาจจะกัดปาก เมื่อเลือกได้แล้วก็ให้กิน ผลไม้นั้นเป็นอาหารเช้า กลางวัน และเย็น ถ้าคุณหิวก็ให้ดื่มน้ำผลไม้เป็นมื้อเบรกได้

วันที่คุณตั้งใจจะล้างพิษด้วยการอด ควรเป็นวันที่อยู่กับบ้าน แล้วเริ่มต้นอดตั้งแต่มื้อเช้าไปเรื่อยๆ จนถึงเช้าของอีกวัน เป็นการเลิกอดด้วยการดื่มน้ำ 2 ลิตร แต่ละลิตรให้บีบน้ำมะนาวลงไป 2 ลูก ใส่เกลือลงไปลิตรละ 2 ช้อนชาพูนๆ ดื่มให้หมด จากนั้นคุณจะถ่ายออกมาเป็นน้ำ (ที่คุณดื่มเข้าไปนั่นแหละ) เป็นการทําความสะอาดล้างท่อลําไส้



<span style='color:blue'>สําหรับผลไม้ที่ช่วยในการล้างพิษที่ดีคือ

แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสําหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนําสารพิษไปกําจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลําไส้เกิดการบูดเน่า แถมยังมีเส้นใยมากที่จะทําหน้าที่ทําความสะอาดลําไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยอาหารทํางานได้ดีขึ้น และยังเหมาะกับคนที่กําลังลดน้ำหนักอีกด้วย

องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสําหรับผิวหนัง ตับ ลําไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่อง จากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนําไปใช้ได้ง่าย อุดมด้วยเกลือแร่ จึงช่วยบํารุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

มะละกอ มะม่วง : มีลักษณะที่คล้ายกัน แต่มะม่วงจะมีสารสําคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ที่จะช่วยทําให้ของเสียที่เป็นโปรตีน แตกตัวได้เร็วเช่นเดียวกับโปรเมลิน

แตงโม : จะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทําให้สบายท้อง ผลที่คาดว่าจะได้จากการล้างพิษโดยการอดคือ น้ำหนักจะลดลง ควบคุมน้ำหนักตัวได้ดีขึ้น ไขมันในเลือดจะลดลง ความดันเลือด ลดลง กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ผู้ที่เป็นเบาหวาน จะควบคุมเบาหวานได้ง่ายขึ้น การอด 24 ชั่วโมง นี้ ถ้าคุณไม่เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน หรืออ่อนเพลียมาก ก็สามารถทําได้เองที่บ้าน

แต่ข้อควรตระหนักประการหนึ่งคือ คนท้องและเด็กที่อายุไม่ถึง 18 ปี ห้ามอดเด็ดขาดและถ้าคุณมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ เบาหวาน หรือมีอาการอ่อนเพลียมาก ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น</span></span></span></span>
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย Tuta Schweiz » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 3:01 pm

อาหารต้านเซลลูไลท์

ลูกแก้วมังกร

สวัสดี <span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>น้องป้อม</span></span>
พี่ตุ๊ มายกนิ้วให้ น่ารักมากๆ บ้านน้องป้อมกลายเป็นห้องสมุดของพี่ตุ๊ไปแล้ว ต้องเข้ามาบ่อยๆ เสียแล้ว
**<span style='color:red'>ลูกแก้วมังกร</span> ของโปรดเลยสมัยอยู่ระยองกินแบบ กินทิ้งกินขว้าง แต่พออยู่เมืองนอกเมืองนา แพงมากค๊าหายากอีกต่างหาก
ขอนคุณอีกครั้งจ้า อาหารต้านเซลลูไลท์ จะอ่านให้ขึ้นใจ บาย
<a href="http://lilypie.com/"><img src="http://lb1f.lilypie.com/TikiPic.php/Adn8.jpg" width="100" height="80" border="0" alt="Lilypie - Personal picture" /><img src="http://lb1f.lilypie.com/Adn8p1.png" width="400" height="80" border="0" alt="Lilypie First Birthday tickers" /></a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
Tuta Schweiz
แม่ไข่ยัดไส้ พ่อไข่ลูกเขย
 
โพสต์: 675
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 02, 2009 7:44 pm
ที่อยู่: Switzerland

โพสต์โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 3:10 pm

มาจิบชาคลายเครียดกัน

น้ำชากับน้ำผลไม้


การดื่มน้ำชาฝรั่ง บางทีก็สามารถทำให้รสชาติเปลี่ยนไปสู่ความรู้สึกใหม่ๆ ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนไปสู่การดื่มแบบ \'ชาเย็น\' ที่เหมาะกับอากาศร้อนของบ้านเรา เพิ่มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าให้กับรสชาติและการดื่มชาด้วยการเติม \'น้ำผลไม้คั้นสด\' ลงไป ดื่มใส่น้ำแข็ง ก็ทำให้ได้ ชาเย็นรสผลไม้ แปลกไปจากชามะนาวเย็นรสเดิมๆ นักปรุงอาหารชาวออสเตรเลีย ดอนน่า เฮย์ มีสูตรแปลงน้ำชาฝรั่งเป็นชาเย็นผลไม้ที่เหมาะกับงานปาร์ตี้หรือการสังสรรค์ภายในครอบครัว เธอจับคู่ชามะลิกับน้ำส้มคั้นนำมาดื่มใส่น้ำแข็ง ช่วงนี้ประเทศไทยมีผลไม้เมืองนอกเข้ามาจำหน่ายมากมาย ใครโปรดปรานราสพ์เบอร์รี ก็มีสูตรน้ำชาให้ลองดัดแปลง

แถมสูตรน้ำตะไคร้เบื้องต้นให้อีกหนึ่งสูตรด้วยล่ะ

ชาเย็นดาร์จีลิ่งราสพ์เบอร์รี (สำหรับ 4 ที่) ใบชาดาร์จีลิ่ง (Darjeeling) 1+1/2 ช้อนโต๊ะ

น้ำเดือด 4+1/2 ถ้วย

ราสพ์เบอร์รี 1+1/4 ถ้วย

น้ำตาล 1/2 ถ้วย

น้ำแข็งทุบ

ใส่ใบชาลงในเหยือกชงชา เทน้ำร้อนตามลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที กรองน้ำชาที่ได้แล้วตั้งทิ้งไว้จนเย็น กดผลราสพ์เบอร์รีด้วยด้านหลังของส้อมพอให้เนื้อผลไม้ปริแตกยุ่ย ใส่เนื้อราสพ์เบอร์รีและน้ำลงในน้ำชา ตามด้วยน้ำตาล คนจนเข้ากันดี เสริฟในแก้วที่เตรียมน้ำแข็งไว้

ชามะลิน้ำส้ม (สำหรับ 4 ที่) ใบชามะลิ (jasmine tea leaves) 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำเดือด 2+1/4 ถ้วย

น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

น้ำส้มคั้น 2 ถ้วย

น้ำแข็งทุบ

ใส่ใบชาลงในเหยือกชงชา เทน้ำเดือดตามลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที กรองน้ำชาที่ได้ จากนั้นเติมน้ำตาลทราย คนจนละลาย เมื่อตั้งทิ้งไว้จนเย็นแล้วจึงเติมน้ำส้มคั้น รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ

ชาตะไคร้เย็น (สำหรับ 4 ที่) ก้านตะไคร้ 10 ก้าน (สับ)

น้ำสะอาด 7+1/2 ถ้วย

น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะนาว 2+1/2 ช้อนโต๊ะ

ก้านตะไคร้ (สำหรับตกแต่ง) 4 ก้าน

น้ำแข็งทุบ

สับก้านตะไคร้ด้วยเครื่องสับอาหาร (หรือใช้มีดสับเองก็ได้) ตั้งไฟเคี่ยวตะไคร้สับในน้ำประมาณ 15 นาที เติมน้ำตาลทรายลงไป ตั้งทิ้งไว้จนเย็นแล้วกรอง จากนั้นเติมน้ำมะนาว รินใส่แก้วที่เตรียมน้ำแข็งไว้แล้ว ทุบโคนก้านตะไคร้ที่เตรียมไว้สำหรับตกแต่งแล้วมัดเป็นปม ใส่ลงในแก้ว กลิ่นตะไคร้หอมชื่นใจแน่นอน

ล้างพิษด้วยการดื่มน้ำ ทุกวันนี้ชีวิตประจำวันของคนแต่ละคนมักเต็มไปด้วยภารกิจอันยุ่งเหยิง ทั้งหน้าที่การงาน ดูแลครอบครัว สังสรรค์เพื่อสังคม บางครั้งเป็นสาเหตุุให้ร่างกายถูกใช้งานหนัก บวกกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ความเครียด ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบสุขภาพ ร่างกายเริ่มอ่อนล้าจากการทำงานหนักและรับมือกับมลภาวะทั้งจากภายนอกและภายในร่างกาย ผู้ผลิตน้ำแร่ธรรมชาติ เอเวียง (Avian) แนะนำให้ลองหันมาปลดปล่อยสิ่งไม่จำเป็นและเริ่มชำระล้างระบบภายในร่างกายด้วย การล้างพิษ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่เป็นธรรมชาติที่สุดและสามารถทำได้ด้วยตัวเองก็คือ ล้างพิษด้วยการดื่มน้ำ น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนสภาพและปรับกลไกการทำงานของระบบสู่ภาวะปกติ เช่น ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เว้นช่วงระยะเวลาการดื่มตามความเหมาะสม และเป็นน้ำที่สะอาด

แต่ถ้าเป็นการล้างพิษตำรับเอเวียง มีสูตรที่จะมอบความสดชื่นปลอดโปร่งให้กับร่างกาย 5 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้:-

1.ให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกาย
ดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร เพราะจะช่วยทำความสะอาดระบบภายในร่างกายและขับออกสู่ภายนอก

2. เปลี่ยนนิสัยการรับประทาน
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเลือกแต่อาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป และกำจัด\'อาหารขยะ\'ออกไปจากชีวิต เพราะ\'อาหารขยะ\'มีสารเคมีและวัตถุกันเสียที่ร่างกายไม่ต้องการ อีกทั้งยังไม่มีคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย แคลอรีที่ร่างกายได้รับจึงเป็นแคลอรีไร้ประโยชน์

3. นอนหลับเพื่อความงาม
นอนหลับให้ได้ 6-8 ชั่วโมงในแต่ละคืน เพราะเป็นโอกาสที่ร่างกายจะได้พักผ่อนและได้รับการฟื้นฟู พยายามอย่านอนดึก และอย่าลืมดื่มน้ำก่อนเข้านอน และดื่มอีกครั้งแก้วใหญ่ๆ เต็มๆ สักแก้วเมื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่

4. ฟิตร่างกาย
การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยรักษารูปร่าง ออกกำลังกายแต่พอดี อย่าหักโหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คุณกำลังล้างพิษ และควรดื่มน้ำแร่ธรรมชาติก่อน และดื่มเป็นระยะๆ ตลอดการออกกำลังกาย

5. ปลุกความสดใสให้ผิวพรรณ
เมื่อใดก็ตามที่ละเลยการดูแลตัวเอง ผิวของคุณจะฟ้อง การล้างพิษช่วยให้ผิวกลับมาเปล่งปลั่งสดใสดังเดิม ใช้สเปรย์น้ำแร่พ่นเบาๆ ให้ทั่วผิวหน้า จะช่วยเพิ่มความสดใสมีชีวิตชีวาและยังช่วยให้เครื่องสำอางของคุณติดทนนานตลอดวัน

ล้างพิษแล้วก็ควรทำจิตใจให้คิดดีทำดีด้วย จะได้ช่วยๆ กันดีทั้งร่างกายและจิตใจ

-ข้อมูลจาก นิตยสาร @Taste-

น่าสนใจมากๆค่ะรวมเมนูอาหาร และทุกอย่างเกี่ยวกับอาหารค่ะ

<a href='http://ns.horapa.com/index.php' target='_blank'>http://ns.horapa.com/index.php</a>
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 3:34 pm

อาการบวมน้ำ เกิดขึ้นเมื่อของเหลวที่ควรเดินทางผ่านหลอดเลือดและน้ำเหลืองกลับซึมออกมาสู่เซลล์และช่องว่างระหว่างเซลล์ สาเหตุุที่พบบ่อยคือ บริโภคเกลือมากเกินไป การสวมถุงเท้าที่ยาวถึงเข่าและรัดแน่นด้านบน การยืนนานๆ และการนั่งห้อยขา ก็ทำให้ข้อเท้าบวมได้ ส่วนอาการบวมน้ำก่อนมีประจำเดือน เกิดจากระดับฮอร์โมนแปรปรวนซึ่งมีผลต่อการทำงานของหลอดเลือดและต่อมน้ำเหลือง สาเหตุุอื่นคือ เกิดจากโรคตับ โรคไต หรือภาวะหัวใจล้มเหลว

การรักษา การรักษาอาการบวมน้ำนั้นต้องดูที่สาเหตุุ บางครั้งแพทย์ก็ใช้ยาขับปัสสาวะรักษาอาการบวมน้ำเพื่อให้ร่างกายขับน้ำส่วนเกินออกมา แต่บางครั้งยานี้ก็ทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะแร่ธาตุที่ควบคุมให้หัวใจเต้นเป็นปกติ แม้ว่าบางกรณียังจำเป็นต้องใช้ยาขับปัสสาวะอยู่ แต่มีอีกหลากหลายวิธีที่คุณทำเองได้ เช่น ปรับปรุงอาหารการกิน ดื่มชาสมุนไพร และเดินออกกำลังกายสัปดาห์ละหลายๆ ครั้ง ก็แก้ปัญหาได้แล้ว...



ที่มา <a href='http://www.readersdigest.co.th/rd/rdhtml/th/communities/food_recipe.jsp?mccid=512&cid=2160' target='_blank'>http://www.readersdigest.co.th/rd/rdhtml/t...id=512&cid=2160</a>



อาการบวมน้ำ กับ การกินยาคุม



อาการบวมน้ำเป็นอาการข้างเคียงชนิดหนึ่งจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เป็นส่วนประกอบในยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งพบได้เป็นเรื่องปกติ ปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน ในยาเม็ดคุมกำเนิดจะมีปริมาณแตกต่างกัน ปัจจุบันมีปริมาณ 20, 30, 35 ไมโครกรัม เพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดศรีษะ, ตึงคัดเต้านม, เป็นฝ้า, น้ำหนักเพิ่ม แต่ก็ยังจะพบอาการข้างเคียงได้บ้างใน 2-3 เดือนแรกของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด แล้วอาการดังกล่าวจะหายไปได้เอง ทั้งนี้หากมีอาการมากหรือไม่หายภายใน 2-3 เดือน ควรรีบไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรต่อไป



แนะนำให้คุณปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร พร้อมกับแจ้งชื่อยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิดที่คุณทานอยู่ด้วยนะคะ และทานมาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว เพื่อแพทย์หรือเภสัชกรจะได้เลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่เหมาะสมให้คุณได้ค่ะ



ที่มา เภสัชกร มัยมุน หะลี

<a href='http://www.pharm.su.ac.th/thai/Organizations/DIS/Webboards/showQAnswer.asp?qNo=1799' target='_blank'>http://www.pharm.su.ac.th/thai/Organizatio...er.asp?qNo=1799</a>
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย oly_kitty » จันทร์ ก.ค. 27, 2009 2:24 pm

<span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วิธีลดน้ำหนักด้วยการรับประทานน้ำมันมะพร้าว



เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า การรับประทานน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์วันละประมาณ 3+ครึ่ง ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ และ 2 ช้อนโต๊ะสำหรับเด็กนั้นมีประโยชน์มากมาย เพราะน้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคร้ายต่างๆ อุดมด้วยเอนไซม์ ไวตามิน แร่ธาตุ เป็นสารแอนตีออกซิแดนท์ ไม่ส่งผลเสียต่อคอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย น้ำมันมะพร้าวยังให้พลังงานสูง ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ไม่สะสมตามเซลล์ไขมัน จึงสามารถช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้

แต่หากท่านรับประทานน้ำมันมะพร้าวแต่ไม่หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้อ้วน น้ำหนักตัวของท่านอาจเพิ่มหรือกลับมาอ้วนได้อีก แล้วอาหารอะไรล่ะที่ทำให้อ้วน? คำตอบคือ น้ำมันอื่นๆนั่นแหละที่เป็นตัวการทำให้อ้วน น้ำมันพืชที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้นั่นแหละที่เป็นตัวการทำให้อ้วน เพราะย่อยได้ยากและสะสมตามเซลล์ไขมัน บางชนิดนำไปผ่านกรรมวิธีอย่างไม่ถูกต้อง จะเปลี่ยนโครงสร้างเป็นไขมันทรานส์ซึ่งนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังเป็นสาเหตุุุของโรคร้ายต่างๆเช่น โรคหัวใจและโรคมะเร็งอีกด้วย

สาเหตุุุที่ต้องนำน้ำมันไปผ่านกรรมวิธีก็เพราะน้ำมันไม่อิ่มตัวนั้นเหม็นหืนง่ายนั่นเอง น้ำมันผ่านกรรมวิธีในรูปแบบอื่นเช่นเนยเทียม ถูกนำไปใช้ทำขนม ทำเบเกอรี่ต่างๆ จะเห็นได้ว่าเด็กสมัยนี้ ซึ่งเป็นสมัยที่ขนมขบเคี้ยวในรูปแบบของว่างต่างๆหาได้ง่ายและน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีได้รับความนิยม จะมีรูปร่างอ้วนกว่าเด็กรุ่นพ่อแม่ หรือที่เห็นได้ชัดเด็กในรุ่นปู่ย่าตายายอยูเป็นจำนวนมาก

สำหรับน้ำมันมะพร้าวนั้น ไม่ต้องนำไปผ่านกรรมวิธีเพราะเป็นไขมันอิ่มตัวไม่เหม็นหืนง่ายเหมือนน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ และไม่ต้องห่วงเรื่องคอเลสเตอรอล เพราะไขมันอิ่มตัวจากพืช เช่นน้ำมันมะพร้าว จะไม่เพิ่มคอเลสเตอรอล ต่างจากไขมันอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์เช่น น้ำมันหมู หรือไขมันอิ่มตัวที่อยู่ในเนยหรือนม (ผู้ที่รับประทานน้ำมันมะพร้าวเพื่อลด LDL และเพิ่ม HDL จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไขมันอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์ด้วย)

ดังนั้น หากต้องการลดน้ำหนักด้วยการรับประทานน้ำมันมะพร้าวให้ได้ประโยชน์สูงสุด ท่านควร

1. เลิกใช้น้ำมันอื่นทำอาหารและเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะพร้าวแทน (หากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีราคาแพงเกินไปสำหรับทำอาหาร ท่านสามารถใช้ โคโค่แคร์ เป็นน้ำมันมะพร้าวสำหรับทำอาหาร ไม่ผ่านกรรมวิธี (ไม่ใช่น้ำมันมะพร้าว RBD) ราคาไม่แพง เหมาะทีสุดสำหรับใช้ทอด)
2. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรท โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรทฟอกขาวเช่น ข้าวขัดขาว น้ำตาลฟอกขาว แป้งฟอกขาว ขนมหวาน เบเกอรี่ ของว่างต่างๆ เพราะนอกจากจะอุดมไปด้วยไขมันทรานส์ในรูปของเนยเทียมแล้ว ยังอุดมด้วยน้ำตาลอีกด้วย
3. รับประทานอาหารสดให้มาก ผักสดและผลไม้สด (ที่ไม่ผ่านการอาบรังสี) จะอุดมด้วยเอนไซม์ เป็นประโยชน์กับร่างกาย
4. ไม่ควรละเลยการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเบาๆแต่สม่ำเสมอเป็นประจำ นอกจากช่วยการเผาผลาญแล้ว ยังทำให้ท่านมีร่างกายแข็งแรงอีกด้วย


ที่กล่าวมาทั้งหมดดูจะไม่เหมือนสูตรการลดน้ำหนัก แต่ดูเหมือนการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือเปลี่ยนการดำเนินชีวิตกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ ซึ่งหากทำสำเร็จการมีน้ำหนักเกินดูจะเป็นเรื่องเล็กน้อย สิ่งที่ท่านจะได้มาคือการมีสุขภาพดี และเมื่อท่านมีสุขภาพดี น้ำหนักของท่านก็จะอยู่ในเกณฑ์มาตราฐานคือลดลงเองโดยอัตโนมัติ.











</span>
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
oly_kitty
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 1:11 pm

โพสต์โดย tewatera » จันทร์ ก.ค. 27, 2009 7:28 pm

การกินแต่ผลไม้อย่างเดียว เป็นเวลา 3 วัน เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากในการทำความสะอาดและล้างพิษในร่างกายของเราเลยนะคะ

แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสําหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนําสารพิษไปกําจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลําไส้เกิดการบูดเน่า แถมยังมีเส้นใยมากที่จะทําหน้าที่ทําความสะอาดลําไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยอาหารทํางานได้ดีขึ้น และยังเหมาะกับคนที่กําลังลดน้ำหนักอีกด้วย

เคยคิดที่จะทำค่ะ
สงสัยต้องหาวันลาซัก 3 วัน ล้างพิษในร่างกายอย่างที่น้องป้อมแนะนำซะแล้ว
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:purple'><b>ความสุขอยู่ใกล้แค่ใจเรา</b></span></span><a href='http://www.glitter-graphics.com' target='_blank'><img src='http://dl7.glitter-graphics.net/pub/517/517117grkpbyjcvm.gif' border='0' alt='user posted image' /></a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
tewatera
แม่ไข่ยัดไส้ พ่อไข่ลูกเขย
 
โพสต์: 699
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 07, 2009 10:58 pm

โพสต์โดย ยายหนู » จันทร์ ก.ค. 27, 2009 8:20 pm

คุณบิลเล่นซื้อยกลังมาเลยค่ะ แล้วเติมลงในอาหารที่ทาน แต่ยายหนูชิมแล้ว ไม่ชอบเพราะทำให้กลิ่นของอาหารเปลี่ยนไป...ขอบคุณสำหรับข้อมูล
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย Bronte » อังคาร ก.ค. 28, 2009 9:49 am

น้องป้อม แล้วที่เขาว่าขับสารพิษ โดยการกินแต่น้ำ นั้นหละ ดีไหม คิดอยากทำแต่ไม่เคยสำเร็จเลย หาข้อมูลให้พี่เร็ว ขอบคุณค่ะ
<img src='http://i633.photobucket.com/albums/uu56/anutra1/Decorated%20images/FLOWER.gif' border='0' alt='user posted image' />
ภาพประจำตัวสมาชิก
Bronte
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 193
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 21, 2009 11:59 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง คลีนิคชาวครัว

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน