โดย oly_kitty » อาทิตย์ ก.ค. 19, 2009 2:51 pm
<span style='color:green'>
หยวนชี่ ,ลมปราณไทเก็ก
หยวนชี่
คัดลอกจาก เต๋าพิศดาร
โดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย
ในความเข้าใจของคนทั่วไป เมื่อเจ็บป่วยไม่สบายก็ต้อง "กินยา" ซึ่งเป็นการใช้วัตถุจากภายนอกร่างกาย เข้ามาบำบัดอาการป่วยไข้ แต่ข้อเสียของการใช้ยาที่ไม่ควรมองข้ามคือ ผลข้างเคียงที่ตัวยามีต่อร่างกายของผู้ป่วยไม่มากก็น้อย
ด้วยเหตุนี้เอง ชาวเต๋าจึงมีการคิดค้นวิธีการบำบัดรักษาโรคจากข้างใน โดยการใช้
"หยวนชี่" (ปราณดั้งเดิมที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราตั้งแต่เกิด)ในตัวผู้ป่วยมาเพิ่มภูมิต้านทานโรคของผู้ป่วยให้บำบัดโรคได้ด้วยตนเองอย่างเป็นธรรมฃาติ
แต่"หยวนชี่"ของคนธรรมดาสามัญที่มิได้บำเพ็ญ มิค่อยมีพลังหรือทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ไม่เท่าไหร่นัก ต่อให้คนธรรมดาเล่นกีฬาออกกำลังกายก็ยังเป็นแค่การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีส่วนดีอยู่ แต่ยังมิพอเพียงต่อการทำให้"หยวนชี่"ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ ชาวเต๋าเห็นว่ามีแต่ต้องฝึกลมปราณ(ชี่กง)เสริมเข้าไปกับการออกกำลังกายด้วยเท่านั้น ถึงจะทำให้"หยวนชี่"ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้
"หยวนชี่"ของคนเรามีคุณสมบัติเหมือนน้ำ ถ้าน้ำนิ่งดุจในบึง มันจะขุ่น แต่ถ้าน้ำไหลตลอดดุจน้ำเชี่ยวในลำธารน้ำตก มันจะใส ฉันใดก็ฉันนั้น น้ำที่ขุ่นหรือ "หยวนชี่" ที่ไหลเวียนไม่สะดวกในร่างกายเราย่อมไม่มีประสิทธิภาพในการบำบัด แต่น้ำที่ไหลแรงย่อมมีพลังเหมือน "หยวนชี่" ที่ไหลอย่างต่อเนื่องไม่ติดขัดย่อมเปล่งประสิทธิภาพเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะคาดนึกได้มากมายนัก
ชาวเต๋าเชื่อกันว่า ผู้ใดก็ตามที่สะสม"หยวนชี่"เอาไว้ในร่างกายได้มากพอ "หยวนชี่"นั้นจะไปขับดันกระแสโลหิตให้ไหลเวียนได้สะดวกดีขึ้น ปราณ(ชี่)ที่ผสมกับเลือด ชาวเต๋าเรียกว่า"เลือดลม"อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการธำรงรักษาชีวิตของคนเราเอาไว้ เลือดลมนี้จะไหลไปตามเส้นทางของปราณที่มักเรียกติดปากว่าเส้นชีพจร ซึ่งดำรงอยู่ทั่วร่างกายเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อนคลอบคลุมอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย กระทั่งผิวหนังและขุมขน อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของคนเราล้วนได้รับการบำรุงหล่อเลี้ยงจากเลือดลมที่ส่งมาตามเส้นชีพจรเหล่านั้นทั้งสิ้น
ชาวเต๋าจึงสอนกันต่อ ๆ มาว่า หากคนเราหมั่นฝึกลมปราณกระตุ้น"หยวนชี่"ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องป่วยไข้ และสามารถมีสุขภาพที่ยั่งยืนได้ตราบจนสิ้นอายุขัย การฝึกลมปราณทำให้"หยวนชี่"ในร่างกายคึกคัก นอกจากส่งผลดีต่อสุขภาพกายแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพใจของคนผู้นั้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจด้วย เขาผู้นั้นจะกลายเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมีสมาธิในการทำงานในกิจทั้งปวงที่สูงยิ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือ เขาผู้นั้นจะเป็นผู้ที่อยู่ในสภาพ "ท็อปฟอร์ม"อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าร่างกายและจิตใจ อันเป็นภาวะที่ชาวเต๋าเห็นว่าสำคัญที่สุดในการผ่านพ้นโลกที่หนึ่ง ก่อนที่จะรุดหน้าพัฒนาตนเองก้าวข้ามทั้งสามโลกได้
อะไรคือความหมายองคำว่า"หยวน"ใน"หยวนชี่" คำว่า"หยวน"นี้ความหมายตามตัวอักษรคือ ดั้งเดิม โดยที่ชาวเต๋าหมายถึง สิ่งที่เป็นปฐมแห่งการก่อเกิดของสรรพสิ่ง คนโบราณเรียก"หยวน"ว่าคือ"เต๋า" ถ้ามองในคุณสมบัติหยวนจะมีคุณสมบัติ ๓ ประการคือ "หยวนของปราณ(ชี่)" "หยวนของแสง"และ"หยวนของเสียง"หรือปฐมของพลังงาน (ปราณ) ปฐมของแสง และปฐมของเสียง ซึ่งครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเอาไว้ทั้งหมด หยวนสามอย่างนี้ชาวเต๋าเรียกว่า"สามหยวน"
ในทางปรัชญา"หยวน"กับ"สามหยวน"มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น หาก"หยวน"เป็น"กาย" "สามหยวน" ก็คือประโยชน์ใช้สอยจาก"กาย"นั้นเอง หยวนย่อมครอบคลุมดั้งเดิมได้ หยวนและสามหยวนจะว่าไปแล้วก็คือสิ่งเดียวกัน
ชาวเต๋าเข้าใจกระบวนการก่อเกิดของจักรวาลว่า หยวนแห่งเสียงเกิดก่อน แล้วจึงเกิด หยวนแห่งปราณและหยวนแห่งแสงตามลำดับ ในช่วงที่ฟ้ากับดินยังไม่แยกจากกัน สามหยวนยังไร้รูปจึงมีชื่อเรียกว่า สามหยวนก่อนกำเนิด แต่หลังจากที่ฟ้าเป็นฟ้า ดินเป็นดินแล้วสามหยวนจึงมีรูป และมีชื่อเรียกว่า สามหยวนหลังกำเนิด แต่ทั้งสามหยวนก่อนกำเนิดและสามหยวนหลังกำเนิดนี้ล้วนเป็นลีลาที่แสดงออกมาของตัวสามหยวนทั้งสิ้น
หยวนและสามหยวนมีลักษณะ ๕ประการคือ
๑.ใหญ่ที่สุดและก็เล็กที่สุด สามหยวนดำรงอยู่เต็มไปทั่วทั้งมหาจักรวาล และก็เป็นองค์ประกอบที่เล็กที่สุดของวัตถุ เล็กขนาดที่ไม่อาจแบ่งย่อยให้เล็กกว่านั้นได้ สามหยวนจึงเป็นสิ่งที่ไร้ขอบเขตในเชิงพื้นที่
๒.ไม่เกิดไม่ดับ ไม่เพิ่มไม่ลด ต่อให้รูปลักษณ์ของสามหยวนจะแปรเปลี่ยนแค่ไหน จากในอดีตจนถึงปัจจุบันยันถึงอนาคต แต่ปริมาณรวมของมันไม่เคยเปลี่ยนแปลง สามหยวนจึงเป็นสิ่งที่ไร้ขอบเขตในเชิงกาลเวลา
๓.มีความละเอียดเป็นทิพย์ ผู้ที่บำเพ็ญย่อมเคยมีประสบการณ์โดยตรงทราบได้เองว่า ตัวเองสามารถดูดซับสามหยวนแห่งฟ้าและดิน ผ่านรูขุมขนได้ นี่คือความละเอียดอันเป็นทิพย์ของสามหยวน
๔.มีพังงานและข่าวสารอยู่ในตัวเอง จึงเป็นที่มาของประสบการณ์ทางจิตประเภทต่าง ๆ ที่มักบังเกิดแก่ผู้บำเพ็ญ
๕.ดำรงอยู่ทั้งในภพที่มนุษย์รับรู้ได้กับภพที่มนุษย์ไม่อาจรับรู้ได้
จากที่กล่าวมาข้างต้นก็จะเห็นได้ชัดว่า การบำเพ็ญ"หยวน"โดยผ่านการฝึกลมปราณเพื่อกระตุ้น หยวนชี่นั้น ชาวเต๋ามิได้มุ่งหวังแค่ให้ปลอดโรคเท่านั้น แต่มุ่งหวังถึงความเป็นอภิมนุษย์ ที่ชาวเต๋าเรียกว่า"เซียน"กันเลยทีเดียว
ชาวเต๋าเชื่อว่าการบรรลุความเป็นเซียนทำได้ด้วยการที่"มนุษย์กับฟ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน"โดยผ่านวิธีที่ผู้บำเพ็ญทำการดูดซับและสะสมหยวนชี่ หยวนแสงและหยวนเสียงแห่งก่อนกำเนิดจากสรรพสิ่งเข้าไว้ในตัวเอง จากนั้นก็ทำการ"แปรธาตุ"จนกระทั่งเกิดการแปรเปลี่ยนตกผลึกภายในอย่างสมบูรณ์และเข้าถึงความรู้แจ้งในแบบของชาวเต๋า
ในที่นี้จะขอถ่ายทอดเคล็ดการฝึกลมปราณเก้ารอบเพื่อบ่มเพาะตันของชาวเต๋าที่ถูกปกปิดเป็นความลับแก่คนทั่วไปมาเป็นเวลายาวนานเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจจะดำเนินบนวิถีเต๋า
1.ก่อนอื่นแบ่งร่างกายของคนเราออกเป็น ๙ ส่วน.
ส่วนที่หนึ่งคือจากฝ่าเท้าถึงหัวเข่า
ส่วนที่สองจากหัวเข่าถึงท้องน้อย
ส่วนที่สามจากท้องน้อยถึงสะดือ
ส่วนที่สี่จากสะดือถึงทรวงอก
ส่วนที่ห้าจากทรวงอกถึงกระดูกไหล่
ส่วนที่หกจากกระดูกไหล่ถึงลำคอ
ส่วนที่เจ็ดจากลำคอถึงบริเวณปาก
ส่วนที่แปดจากบริเวณปากถึงบริเวณตา
ส่วนที่เก้า จากบริเวณตาถึงบริเวณหน้าผาก
2.จากนั้นให้หายใจเข้าติดต่อกัน 9 ครั้ง(แทนที่จะหายใจเข้าแค่ครั้งเดียวเหมือนปกติ)ก่อนที่จะหายใจออก ถ้าทำได้การหายใจเข้าออกครั้งเดียวควรทำได้ถึงหนึ่งนาทีครึ่ง แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ค่อยเป็นค่อยไป
3.พอหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก็ให้จินตนาการว่าสูดลมปราณจากฝ่าเท้าขึ้นมาถึงหัวเข่า พอหายใจเข้าครั้งที่สอง ก็ให้จินตนาการว่าสูดลมปราณขึ้นมาถึงท้องน้อย พอหายใจเข้าครั้งที่สามก็จินตนาการว่าสูดลมปราณขึ้นมาถึงสะดือ ทำเช่นนี้ขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามลำดับ พอสูดลมหายใจครั้งที่เก้าก็จะเสมือนได้สูดลมปราณอัดแน่นจนเต็มทั้งร่างกายแล้ว
4.จากนั้นค่อย ๆ ระบายลมหายใจออก คราวนี้จินตนาการว่าลมปราณถูกระบายออกจากศีรษะไล่กลับมาจนถึงฝ่าเท้าในที่สุด(ลำดับจะกลับกันกับการหายใจเข้ารวดเดียว 9 ครั้ง)อนึ่ง ตอนหายใจออกให้หายใจออกในคราเดียว การฝึกลมปราณอันนี้ และนำให้ฝึกกันในท่ายืน คนที่เคยฝึกลมเจ็ดฐานในท่ายืนพิจารณาจับโครงกระดูกมาแล้วจะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
--------------------------------------------------------------------------------
ลมปราณไทเก๊ก
คัดลอกจาก เต๋าพิศดาร
โดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย
ในหนังสือ บูรพาปาฏิหารย์ ปักษ์แรก กรกฎาคม ๒๕๔๕
การฝึกลมปราณไทเก๊กจะฝึกลมปราณ ๑๐ ชนิดด้วยกัน โดยมีแก่นแกนอยู่ที่การหายใจแบบปฏิภาค หรือการหายใจแบบก่อนกำเนิด ซึ่งจะว่าไปแล้วอาจจะเรียกได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของวิชาลมปราณสายเต๋าทั้งปวง ในที่นี้จะขออธิบายการฝึกหายใจหรือการฝึกลมปราณ ๑๐ ประเภทที่มีอยู่ในมวยไทเก๊กเพื่อเป็นวิทยาทาน
๑.การหายใจแบบปฏิภาค (Reverse Breathing)เป็นการหายใจที่ใช้กล้ามเนื้อท้องในตอนหายใจ โดยหายใจเข้าท้องยุบ หายใจออกท้องป่อง ในคัมภีร์ไทเก๊กจะกล่าวถึงการหายใจปฏิภาคนี้โดยเปรียบเปรยเหมือนกับ"การโหมไฟ" ในบริเวณท้องน้อย เพราะชาวเต๋าเชื่อว่าการหายใจแบบนี้จะไปกระตุ้นปราณก่อนกำเนิดในร่างกายของผู้นั้นให้คึกคักระหว่างที่หายใจแบบนี้จะต้องขมิบก้นเอาไว้ด้วยเสมอ ผ่อนคลายทั่วร่าง ทำจิตให้สงบและจดจ่อที่จุดตันเถียน สามารถฝึกหายใจแบบปฏิภาคนี้ได้ทั้งในท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน และท่านอน
๒.ขับปราณให้เคลื่อนไปตามวงจรจุลจักรวาล (Microcosmic Breathing) หลังจากชำนาญในการหายใจแบบปฏิภาคแล้วผู้ฝึกปราณรุดหน้าไปฝึกการขับเคลื่อนปราณ(ชี่)ให้เคลื่อนไปตามวงจรจุลจักรวาลได้ โดยใช้จินตนาการผนวกกับความรู้สึกทางกายที่เกิดขึ้นจริง ๆ ของปราณที่ไหลจากตันเถียนไปบริเวณรอยฝีเย็บ(จุดฮุ่ยอิน)ที่อยู่ระหว่างรูทวารกับอวัยวะเพศ ผ่านกระดูกก้นกบไต่ขึ้นไปถึงกะโหลกศีรษะ และไหลเวียนผ่านกลางกระหม่อมลงมาที่บริเวณด้านหน้าจากศีรษะลงมาที่สำคอหน้าอก ช่องท้อง และจุดตันเถียน เป็นอันจบหนึ่งรอบเคล็ดอยู่ที่ในหนึ่งหายใจเข้า ให้จินตนาการการขับเคลื่อนชี่จากจุดตันเถียนผ่านจุดฮุ่ยอินไปตามกระดูกสันหลังจนถึงกลางกระหม่อมและหนึ่งหายใจออกในจินตนาการขับเคลื่อนชี่จากกลางกระหม่อมลงมากลางลำตัวด้านหน้า จนกลับมาที่จุดตันเถียน
๓.ขับปราณให้ขับเคลื่อนไปตามวงจรมหาจักรวาล (Macrocosmic Breathing) เป็นการขยายการฝึกลมปราณแบบที่ ๒ หรือแบบจุลจักรวาลโดยให้ปราณลงไปถึงสองขาด้วย ในตอนแรกผู้ฝึกขับเคลื่อนปราณแบบจุลจักรวาลก่อน จากนั้นจึงค่อยจินตนาการการขับเคลื่อนไปตามขาจนถึงจุดหยงฉวนที่กลางฝ่าเท้าขึ้นมา แล้วให้ไหลเวียนไปตามวงจรจุลจักรวาล การหัดลมปราณมหาจักรวาลนี้ถ้าฝึกในท่ายืนจะรู้สึกได้ง่ายกว่าท่าอื่น
๔.ฝึกหายใจในท่ายืนเหมือนอุ้มลูกบอล (Ball Breathing) ผู้ฝึกยืนยกมือขึ้นสูงและกางออกเหนือศีรษะเหมือนกำลังอุ้มลูกบอลกระดาษใบใหญ่ ลักษณะคล้ายอักษรเอ็กซ์ในภาษาอังกฤษ(X)โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่จุดตันเถียน ตอนหายใจเข้าให้จินตนาการดูดซับปราณจากใจกลางฝ่ามือ(จุดเล่ากง)ทั้งสองข้างและจากใจกลางฝ่าเท้า(จุดหยงฉวน)ทั้งสองข้างและไหลมาบรรจบกันที่จุดตันเถียน ตอนหายใจออกก็ให้จินตนาการขับเคลื่อนปราณออกจากจุดตันเถียนและออกทางจุดเล่ากงที่ใจกลางฝ่ามือกับจุดหยงฉวนที่ใจกลางฝ่าเท้าทั้งสองข้าง การฝึกลมปราณแบบที่ ๔ นี้เป็นการเสริมแบบที่ ๓ (มหาจักรวาล)เพระลมปราณจะไหลทะลุมือแขนทั้งสองข้างด้วยมิใช่แค่สองขาเท่านั้นเหมือนแบบที่ ๓
๕.การหายใจแบบอัดแน่น (Condensing Breathing) หลังจากเชี่ยวชาญการฝึกลมหายใจทั้งสี่แบบข้างต้นแล้ว ผู้ฝึกถึงค่อยเริ่มฝึกลมปราณแบบที่๕ ซึ่งเป็นการหายใจแบบอัดแน่น โดยใช้จินตนาการผสานกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในการดูดซับปราณให้ชำแรกเข้ามาในโครงกระดูกทั่วทั้งร่างกายของผู้ฝึก
๖.การหายใจดูดซับปราณจากฟ้าและดิน (Heaven and Earth Breathing) การหายใจ แบบนี้เหมาะมากสำหรับการฝึกตอนเช้าตรู่ การหายใจยังคงใช้แบบปฏิภาคโดยผู้ฝึกต้องจินตนาการผสานกับความรู้สึกทางกายที่เกิดขึ้นจริง ๆ ว่าในตอนหายใจเข้าตัวเองกำลังดูดซับปราณจากฟ้า โดยผ่านเขามาทางจุดไปฮุ่ยที่กลางกระหม่อมลงมาตามกระดูกสันหลังผ่านจุดฮุ่ยอิน(รอยฝีเย็บ)แล้วมาที่จุดตันเถียน ในขณะเดียวกันก็ดูดซับปราณจากดินขึ้นมาจากใจกลางฝ่าเท้า(จุดหยงฉวน)แล้วมาบรรจบกับปราณจากฟ้าที่จดตันเถียนเช่นกัน ส่วนตอนหายใจออกให้จินตนาการขับปราณออกไปตามเส้นทางที่เข้ามา การฝึกหายใจดูดซับปราณจากฟ้าและดินนี้ยังสามารถหายใจโดยประสานเข้ากับการหายใจในท่ายืนอุ้มลูกบอลและการหายใจแบบอัดแน่นได้ด้วย
๗.หายใจขับเคลื่อนปราณผ่านเส้นชีพจรต่าง ๆ (Meridian Breathing) ผู้ฝึกการหายใจแบบนี้จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับจุดและเส้นชีพจรต่าง ๆ ทั่วร่างกายที่ใช้กันในการแพทย์แผนจีนเสียก่อน จึงยังไม่ขอลงรายละเอียดในที่นี้
๘.ลมปราณเบญจธาตุและอวัยวะภายในทั้งห้า (Five Element Internal Organ Breathing) เหมือนกับการหายใจแบบที่๗ จึงยังไม่ขอลงรายละเอียดในที่นี้
๙.ลมปราณเพื่อการบำบัดผู้อื่นเหมือนกับการหายใจแบบที่ ๗ จึงยังไม่ขอลงรายละเอียดในที่นี้
สำหรับผู้ฝึกทั่วไปหากสามารถฝึกฝนลมปราณแบบที่๑-๖ จนชำนาญได้ก็ถือว่ายอดและเพียงพอแล้วต่อการพัฒนาตัวเองทั้งทางกาย ใจ จิต วิญญาณ เพราะลมปราณแบบที่ ๗-๑๐ นั้นมุ่งเน้นไปที่การบำบัดรักษาตนเองและผู้อื่นเป็นหลัก
ลำพังแค่การฝึกลมปราณ(ชี่กง)ถึงแบบที่ ๕-๖ สำหรับผู้คนในประเทศนี้ก็มีผู้ฝึกได้ไม่มากนักอยู่แล้ว คนธรรมดาขอแค่ฝึกการหายใจแบบปฏิภาคจนเป็นนิสัยได้ คุณภาพชีวิตของเขาก็จะดีมากกว่าเดิมมากมายแล้ว ไม่ต้องคิดถึงการฝึกลมปราณแบบอื่นๆ หรอก
--------------------------------------------------------------------------------
"การรู้สึกตัวในขณะที่เคลื่อนไหวร่างกาย" โดยไม่ต้องบริกรรมภาวนาก็คือการฝึกฝนหลักของมวยไท้เก้กเช่นกัน !!
มวยไท้เก้กมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามวยพลังไฟฟ้า เพราะว่ามวยชนิดนี้ นำเอาธาตุแห่งพลังชีวิต(ปราณหรือชี่) ที่มีอยู่เต็มจักรวาลในลักษณะของกระแสไฟฟ้า และคลื่นแม่เหล็ก เข้ามาสะสมเก็บเอาไว้ในมันสมอง (บริเวณ"ไฮโพทาลามัส) เป็นแหล่งพลังงานของตนเองเพื่อใช้ในการบรรลุจุดหมายสูงสุด ในการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "ฟ้า"
จุดเด่นพิเศษของการฝึกฝนมวยไท้เก้กนี้ก็คือ จะต้องมีการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ประกอบกับการหายใจที่เป็นไปอย่างธรรมดาและอย่างมีสติ โดยไม่ออกแรงมากเกินไป แต่อาศัยความอ่อนนุ่มกลมกลืนเป็นสำคัญ อันเป็นความอ่อนนุ่ม กลมกลืน ที่แฝงไว้ด้วยกำลังภายในอย่างเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ การฝึกฝนมวยไท้เก็กในเรื่องท่วงท่า มุ่งเน้นที่การขวนขวายหาความแม่นยำ ไม่ใช้กำลังแรงอย่างหักโหม ในเรื่องจิตใจทีมุ่งเน้นที่ความปลอดโปร่ง เป็นปกติ ราบเรียบ มีสมาธิแน่วแน่นิ่งเป็นเอกภาพ ปราศจากความนึกคิด ปราศจากความวิตกกังวล และความสงสัย แต่ละครั้งที่ฝึกจะต้องให้สบายตลอดร่าง อย่าฝึกจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจนถึงที่สุดให้คำนึงถึงความเหมาะสมของแต่ละคนเอง
มวยไท้เก้กแสวงหาความสงบนิ่งท่ามกลางความเคลื่อนไหว เมื่อดูจากท่าทางภายนอก และแสวงหาความเคลื่อนไหวจากความสงบนิ่ง ในขณะที่ฝึกกำลังภายในด้วยการฝึกสมาธิ
ต้นกำเนิดของวิชามวยไท้เก้ก มีคนกล่าวว่า มาจากนักพรตเต๋า ผู้ฝึกวิชาเซียน (วิชาโยคะของจีน) เนื่องจากการนั่งสมาธินานเกรงว่าโลหิตกับปราณ (ชี่) จะคั่งค้างติดขัดดังนั้น นอกจากการนั่งสมาธิแล้ว จึงต้องอาศัยการเคลื่อนไหว ออกกายบริหารมาบำรุงเสริมสร้างพลังภายในร่างกาย
ในทางกลับกัน ผู้ที่ฝึกฝนมวยไท้เก้กรุดหน้ามาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกการนั่งสมาธิด้วย การนั่งสมาธิคือการสำรวมตนอย่างสุภาพอย่างหนึ่ง ผู้ที่สามารถนั่งสมาธิได้ จิตใจย่อมสงบนิ่ง พลังย่อมกลมกลืนความนึกคิดถูกต้อง ร่างกายตั้งตรง อารมณ์ผ่องใส ยามเคลื่อนไหว ยื่นมือออกไปไม่ว่ากำลังรุนแรงเพียงใด จะไม่สับสนวุ่นวาย
วิธีการนั่งสมาธิแบบเต๋านั้น ควรได้รับการถ่ายทอดที่ถูกต้องจากผู้รู้ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ถ้าหากยึดหลักฝึกฝนปฏิบัติตามหลักของมวยไท้เก้กขนานแท้แล้ว ก็คงไม่เป็นอะไร กล่าวคือ
-ร่างกายจะต้องนั่งตัวตั้งตรง โดยนั่งขัดสมาธิชั้นเดียว หรือสองชั้นก็ได้ไม่ขัดข้อง
-ศรีษะกับร่างกายจะต้องตั้งตรง
-บ่าทั้งสองลดลงให้เสมออกห้ามยกไหล่
-จงผ่อนคลายตลอดร่าง
-ลิ้นดันเพดานปากไว้
-ซี่ฟันต้องประกบกัน
-หรี่เปลือกตาลง
-มือทั้งสองเอาหลังมือซ้ายวางทับไว้บนอุ้งมือขวา วางแนบติดกับข้างหน้าท้องน้อยโดยค่อยๆ วางไว้บนโคนเท้า
หลังจานั้นตั้งจิตใจให้สงบนิ่ง ผ่อนคลายบริเวณสะดือ และท้อง ตัดความกังวลเกี่ยวกับตนและสิ่งอื่น ตัดอารมณ์ความนึกคิดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปให้พ้น ปิดบังการมองแต่สดับฟัง คือ หูไม่ประมาทและหูไม่สดับฟังภายนอก
เมื่อนั้นปราณ (ชี่) จะไหลกลับไปยังไต ตาก็ยังต้องไม่ประมาท คือไม่มองภายนอก เมื่อนั้นเสิน(จิตประสาท) จะกลับคืนไปยังตับ ปากก็ต้องไม่ประมาท คือสงบนิ่ง ไม่ยอมพูด จิตจะกลับคืนไปยังหัวใจ จมูกไม่ประมาท คือไม่ดมกลิ่นภายนอก อารมณ์จะกลับคืนไปยังปอด สติไม่ประมาท คือความนึกคิดไม่ฟุ้งซ่าน ความสำนึกจะกลับคืนไปยังม้าม
*เวลานั่งสมาธิควรเป็นเวลาที่ตื่นนอนเช้ากับเวลาที่จะเข้านอนกลางคืนเวลาที่เริ่มต้นฝึกฝน แรกๆ มือและเท้าย่อมรู้สึกไม่สบาย อารมณ์ก็ฟุ้งซ่าน แต่ถ้าปฏิบัตินานเข้าย่อมหายไปเอง ระยะเวลาในการนั่งสมาธิจะยาวหรือสั้นไม่จำกัด จะเป็นเวลา 15 นาที หรือครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงก็ได้
กลไกของวิชาเต๋า เพื่อการกลายเป็นโฮโม-เอ็กเซลเลนส์ โดยผ่านการฝึกมวยพลังไฟฟ้าอย่างมวยไท้เก้ก ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความคล้ายคลึงกับกลไกของวิชาโยคะมากทีเดียว
ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว เซียนผู้วิเศษของจีนได้กล่าวเอาไว้ว่า "ที่สองข้างของกระดูกสันหลังมนุษย์นั้น มีช่องแล่นผ่านไปถึงกลางกระหม่อม วิธีของการที่จะฝึกฝนวิชากำลังภายใน จึงเหมือนดั่งคนผู้หนึ่งที่ต้องการจะปีนขึ้นจากเหวลึกไปสู่เบื้องบนสวรรค์ เขาต้องการเริ่มฝึกตั้งแต่ปลายย้อยของกระดูกก้นกบ อันเป็นตำแหน่งที่การโคจรของจิตกับปราณ (ชี่) จะต้องมาประสานกันและเป็นที่รวมของธาตุหยินกับหยัง เขาจะต้องเพ่งนึกถึงลมหายใจที่จะแล่นมาจากปลายย้อยของกระดูกก้นกบ จนกระทั่งไปถึงกลางกระหม่อม ด้วยการสูดเอาปราณที่อยู่ในระหว่างผืนแผ่นดินกับแผ่นฟ้าให้แล่นผ่านหว่างศูนย์คิ้ว ไปกลางกระหม่อม และวกกลับมาสู่จุดตันเถียน (จุดศูนย์)"
พลังชีวิต พลังใจ พลังจักรวาล พลังที่แท้จริงของฟ้าดิน ...พลังเหล่านี้ล้วนมีลักษณะเป็นพลังไฟฟ้าทั้งสิ้น และเป็นแหล่งต้นตอของสรรพสิ่งในสากลจักรวาล ซึ่งคนจีนเรียกว่า "ไท้เก้ก" ส่วน "สมอง" ของมนุษย์ คือเครื่องจักรวิเศษที่คอยเก็บสะสมพลังไฟฟ้าเช่นนี้เอาไว้ วิชาเต๋าของจีนเชื่อว่าในร่างกายของคนเรามีหม้อแบตเตอรี่เก็บกระแสไฟฟ้าอยู่ 2 แห่ง หม้อแบตเตอรี่ที่เก็บสะสมไฟฟ้าตัวผู้ (ขั้วบวก) อยู่บนศรีษะ ในขณะที่หม้อแบตเตอรี่ที่เก็บกระแสไฟฟ้าตัวเมีย (ขั้วลบ) อยู่ที่ใต้สะดือ กล่าวคืออันหนึ่งอยู่ข้างบน อีกอันหนึ่งอยู่ข้างล่าง เหมือนขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้โดยมีเส้นประสาท เป็นสายเชื่อมโยงติดต่อกัน และมี "จุดศูนย์" (บน กลาง ล่าง) 3 แห่ง ทำหน้าที่เป็นสถานีผสมผสานกันระหว่างกระแสไฟฟ้าบวกกับกระแสไฟฟ้าลบ
โยคาจารย์ทางเต๋า ผู้ค้นพบ "พลังจักรวาล" เช่นนี้มาตั้งแต่โบราณกาลมีความเชื่อมั่นว่า คนเราสามารถอาศัยวิธีหายใจรับเอา พลังจักรวาล (ปราณ) นี้จากดินฟ้า จากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มาสะสมเป็นสมรรถภาพภายในร่างกายของตนได้ และเพื่อรวมพลังจักรวาลเหล่านี้ไปใช้ในการ "บรรลุธรรม" หรือ "บรรลุเต๋า"
ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ วิชาเต๋าของจีนเชื่อว่า ก่อนอื่นจะต้องเพิ่มการประจุไฟฟ้าเข้าไปในเซลล์แต่ละเซลล์ของร่างกาย โดยเฉพาะในเซลล์สมองเสียก่อน นี่จึงเป็นที่มาของ " วิชาสะสมกำลังภายใน" เพื่อเพิ่มประจุไฟฟ้าในเซลล์ของร่างกาย ต่อมาภายหลังจากที่เพิ่มประจุไฟฟ้า (สะสมกำลังภายใน) ได้แล้วก็จะต้องรู้จักควบคุมพลังไฟฟ้าเหล่านั้น ให้ไปรวมพลังที่กลางกระหม่อมเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสมอง ไปเป็นสมองเซียน หรือมันสมองของวิญญาณที่สูงส่ง นี่จึงเป็นที่มาของ "วิชาโคจรลมปราณ" จะเห็นได้ว่าหลักคิดของวิชาเต๋า มิได้แตกต่างไปจากหลักคิดของวิชาโยคะแต่อย่างใดเลย ความแตกต่างที่มีคือความแตกต่างในเรื่องตำแหน่งของจักรกับจุด และความแตกต่างในเรื่องเส้นทางโคจรของลมปราณเท่านั้น
การถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝีมือของคัมภีร์สัตตสูตร ซึ่งมีใจความดังนี้ "ฝึกใช้มือยันพื้นเท้าชี้ฟ้า ในขั้นแรกพลังอยู่จุดศูนย์ เคลื่อนไหวด้วยจิตนำพลังลงตามจุดแห่งเจ็ดดาวเหนือบนศรีษะ เป็นหลัก"
"จุดแห่งเจ็ดดาวเหนือบนศรีษะ" นี้คือ เส้นโคจรของจิตและลมปราณที่เชื่อมจักรคิ้วกับจักรมงกุฎนั่นเอง(บริเวณ"ไฮโพทาลามัส)
<a href='http://jedineko.spaces.live.com/blog/cns!9FF299A42D66B3A9!336.entry' target='_blank'>http://jedineko.spaces.live.com/blog/cns...9!336.entry</a>
</span>
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>我太胖了,我想见见费。</span></span>