
<a href='http://health.msn.com/nutrition/video.aspx?vid=acd94779-297e-4f9c-a5d4-535a2a6a2c6e%26tab=VideoJug' target='_blank'>http://health.msn.com/nutrition/video.aspx...%26tab=VideoJug</a>
<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>“ลดความอ้วนที่ “ต้นเหตุ” พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง ลดน้ำหนักอย่างถาวร ไม่กลับมาอ้วนอีก ด้วยสิ่งธรรมชาติความอวบ…อ้วน…ไขมันส่วนเกิน…ปัญหาสุขภาพ ฯลฯ แก้ไขได้ไม่ต้องอดอาหารไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายใช้ได้ผลแล้วมากกว่า 40 ล้านคน รับรองผลภายใน 1 เดือน สนใจดูรายละเอียดที่…”
“กำจัดส่วนเกิน ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง หุ่นฟิตเฟิร์มสวยภายใน 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์กว่า 40 ล้านคนทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่าได้ผลหุ่นสวย สุขภาพดีวันนี้เพราะป้องกันดีกว่ารักษาเสมอ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมฟรี…”</span></span>
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ (ด้วยวิจารณญาณ) ว่าข้อความข้างต้นเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ
และก็คงมีหลายคนยอม “เชื่อ” ตามที่โฆษณาชี้ชวน ไม่อย่างนั้นธุรกิจลดน้ำหนักคงไม่ลงทุนลงแรงส่ง Spam mail เหล่านี้กระจายทั่วทุกหัวระแหงบนโลกอินเทอร์เนต ให้นักท่องเว็บต้องรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอยู่บ่อยๆ (นี่ยังไม่นับข้อความตามเสาไฟฟ้าหรือรายการโทรทัศน์ประเภทโทรศัพย์มาสั่งซื้อสินค้าภายใน 24 ชั่วโมง รับไปเลยที่ตบยุงอีกหนึ่งอัน)
ถ้าจะนับกันโดยไม่ต้องพลิกหาข้อมูลอ้างอิงจากสถาบันวิจัยใด ปัญหาเรื่องพองหนอ-ไม่ยุบหนอของส่วนสัดสรีระร่างกาย น่าจะเป็นปัญหาหนักอกหนักกายอันดับหนึ่งของมวลมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่
แม้ว่าในอีกด้าน ปัญหาเรื่องปากท้อง การขาดอาหาร ความไม่มีจะกินของคน ก็ยังไม่เคยทุเลาเบาบางลงก็ตาม
อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น ?
ปรากฏการณ์ทำนองนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของบุญทำกรรมแต่ง หากเว้นไปเสียจากภาพสะท้อนของการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียม “ความอ้วน” เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันโดยตรงกับวิถีชีวิตที่ดำเนินกิจวัตรอยู่บนเส้นทางแห่งบริโภคนิยม
โดยเฉพาะเรื่องของ “การกิน”
ไม่ใช่แต่การกินมากๆ โดยไม่บันยะบันยังเท่านั้นที่ทำให้อ้วนได้ง่าย การกินน้อยๆ หรือยอมอดอาหารในบางมื้อ ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันเช่นกันว่าจะทำให้มีรูปร่างผอมเพรียวเสมอไป
รวมไปถึงเรื่องความเชื่อมั่นในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่าจะมีวิทยาการใดมาใช้ “ดักจับความอ้วน” เหมือนแมวจับหนู เพื่อจะช่วยให้เรามีให้มีรูปร่างที่สมส่วนโดยไม่ต้องออกกำลังกาย และไม่ต้องตัดใจจากบรรดาของโปรดที่ล้วนแต่ต้องทำสงครามกับแคลอรีในร่างกายอย่างหนักหน่วง
ถ้ายังไม่เบื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว เราขอชวนให้คุณเชื่อสักหน่อยได้ไหมว่า การกิน “อาหารเช้า” (อย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการ) นี่แหละ จะทำให้คุณสามารถลดความอ้วนได้!
<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วันนี้คุณกินอาหารเช้าหรือยัง</span></span>
อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน
แหม เรื่องแบบนี้ใครๆ ก็รู้…การอดอาหารเช้าจะทำให้การเรียนและการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย อ่อนเพลียและง่วงนอน เพราะขาดสารอาหารไปหล่อเลี่ยงสมอง หนักๆ เข้าก็อาจถึงขั้นปวดหัว-ปวดท้องเป็นโรคกระเพาะต้องเข้าโรงพยาบาลไปตามระเบียบ
นั่นสิ ทั้งที่ก็รู้ แต่เราก็ยังไม่ค่อยชอบกินอาหารเช้ากันสักเท่าไรอยู่ดี
อย่าถามเลยว่าทำไม ก็เห็นกันอยู่ ชีวิตคนเมืองมันมีแต่ความเร่งร้อน รถราก็แสนติดขัด แค่จะไปให้ถึงที่ทำงานตรงเวลายังต้องกระหืดกระหอบแทบตายประสาอะไรกับการมานั่งละเลียดกินนั่นกินนี่ กาแฟสักถ้วยก็อยู่ท้องแล้ว
ที่เป็นอย่างนี้เพราะคนส่วนใหญ่กินอาหารด้วยความรู้สึกว่าหิวหรือไม่หิว มากกว่าจะกินเพราะรับรู้ว่าเป็นความจำเป็นของร่างกาย ซึ่งไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าการเรียนหนังสือหรือการทำงานหากิน
โดยไม่รู้เลยว่าแค่การไม่กินอาหารมื้อเช้ามื้อเดียวนั้น ได้ก่อให้เกิดผลอะไรกับร่างกายบ้าง
จากการวิจัยผลของการกินอาหารเช้าต่อการตอบสนองของร่างกายทางด้านชีวเคมีพบว่า ภายหลังจากที่กลุ่มตัวอย่างกินอาหารมื้อเช้าเป็นเวลา 30 นาที ระดับน้ำตาลในเลือดได้ขึ้นถึงจุดสูงสุด จากนั้นระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลา 3 ชั่วโมง และค่อยๆ ลดลงถึงระดับต่ำสุดภายใน 6 ชั่วโมง
ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างซึ่งอดอาหารเช้า ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงภายในเวลา 30นาที จากนั้นระดับน้ำตาลได้เพิ่มขึ้นภายในเวลา 2 ชั่วโมง เนื่องจากร่างกายดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่สะสมไว้ที่ตับ ซึ่งเป็นเสบียงไว้ใช้ยามจำเป็น นำมาใช้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามพลังงานเหล่านี้ก็จะหมดไปในเวลาไม่นาน โดยระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจนถึงระดับต่ำสุดภายในเวลา 3 ชั่วโมง
อย่าชะล่าใจไป ถึงร่างกายจะมีกลไกรองรับพฤติกรรม การบริโภคอาหารแบบเอาแต่ใจของเราอยู่ แต่เมื่อทำอย่างนี้นานๆ เข้าก็จะส่งผลต่อการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้ค่าตัวชี้วัดเมตาบอลิซึมของความเครียดในร่างกายเพิ่มมากขึ้น
ยังไม่นับถึงเรื่องของพลังงาน โปรตีน วิตามินต่างๆ และจุลโภชนาสารที่ควรได้รับใน 1 วัน ซึ่งมีการศึกษาพบว่า ระหว่างคนที่กินและไม่กินอาหารเช้านั้น คนที่กินจะได้รับสารอาหารหลักที่เป็นประโยชน์ครบถ้วนมากกว่า ถึงแม้คนที่ไม่กินอาหารในมื้ออื่นๆ ทดแทนแล้วก็ตาม
ไม่เพียงเท่านั้น ลักษณะการกินอาหารแบบกินมื้อทดมื้อนี้แหละที่จะนำมาสู่ความอ้วน…อย่างที่เราเองก็คาดไม่ถึง
และหักล้างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำที่ใคร (ก็ไม่รู้) ทำให้เราเชื่อมาตลอดว่า <span style='color:red'>“กินน้อยๆ สิจะได้ไม่อ้วน" </span>
<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>อดข้าวเช้า…กลัวอ้วน ?</span></span>
แม้เหตุผลหลักๆ ของคนที่ไม่กินอาหารเช้าจะเป็นเรื่องของการไม่มีเวลา ไม่รู้สึกหิว หรือไม่สะดวกในการตระเตรียมเป็นส่วนใหญ่
แต่มีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มีทัศนคติผิดๆ เกี่ยวกับการ “ลดน้ำหนัก” ด้วยการไม่กินอาหารเช้า และคิดไปเองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกิน
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ถึงแม้คนที่กินอาหารเช้าจะได้รับพลังงานจากสารอาหารมากกว่าคนที่ไม่ได้กินอาหารเช้า แต่เมื่อประเมินภาวะโภชนาการโดยใช้เกณฑ์น้ำหนักตามส่วนสูง และการเพิ่มของน้ำหนักและส่วนสูง กลับพบว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย
นั่นแสดงให้เห็นว่า การกินอาหารมื้อเช้านั้นไม่ได้ทำให้อ้วน ตรงกันข้ามไม่กินต่างหากจะนำมาซึ่งความเสี่ยงที่รุนแรงกว่า
จากการศึกษาโดย The Asian Food Information Center (AFIC 2002) ซึ่งการทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัย 4 แห่งในภูมิภาคเอเชีย พบว่า เด็กอายุ 10-12 ปี ซึ่งกินอาหารเช้าเป็นประจำทุกวัน มีโอกาสที่จะมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนน้อยกว่าเด็กที่ละเลยหรือกินอาหารเช้าเพียงบางวัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเด็กที่ละเลยอาหารเช้ามักจะรู้สึกหิวในช่วงสายๆ ของวันหรือตอนใกล้เที่ยงซึ่งทำให้เด็กเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกินอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น
สอดคล้องกับการในกลุ่มหญิงอเมริกันผิวขาวและผิวดำ อายุ 9-19 ปี โดย Affenito*และคณะ (2005) ที่แสดงให้เห็นว่า การกินอาหารเช้าเป็นประจำมีความสัมพันธ์กับการลดลงของค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) นิสัยการกินอาหารแต่ละมื้ออย่างพอดีไม่กินมากเกินไป การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อสุขภาพ ประกอบกับการออกกำลังเป็นประจำวันและการได้รับพลังงานต่อวันในปริมาณใกล้เคียงกันทุกวันและการได้รับพลังงานต่อวันในปริมาณใกล้เคียงกันทุกวัน นำไปสู่เหตุผลที่ว่าทำไม BMI ของหญิงที่กินอาหารเช้าเป็นประจำจึงมีค่าน้อยกว่าของผู้อื่นที่ละเลยอาหารเช้า
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันโดยตรงระหว่างการกินอาหารเช้ากับการควบคุมน้ำหนัก ดังเช่นรายงานการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกตีพิมพ์ใน The Journal of Obesity Research (2002) พบว่า ร้อยละ 80 ของอาสาสมัครซึ่งมีมากกว่า 3,000 คน ที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักส่วนเกินและยังสามารถรักษาน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้น ล้วนแต่เป็นผู้ที่กินอาหารเช้าเป็นประจำทั้งสิ้น ทั้งนั้เนื่องจากการกินอาหารเช้าในการควบคุมความหิวในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น
อีกทั้งจากผลการวิจัยของสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกา (2003) ยังพบด้วยว่า อัตราการเกิดโรคอันเนื่องมาจากภาวะดื้อต่ออินซูลินหรือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อต่างๆ ไม่ค่อยตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง (ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ได้แก่ ภาวะไขมันในเลือดสูง ความอ้วน ความดันเลือดสูง) มีค่าลดลงในผู้ที่กินอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอถึงร้อยละ 35-50 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่กินอาหารเช้าอีกด้วย
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>ลดความอ้วนที่ "ต้นเหตุ"</span></span>
<span style='color:green'>การกินอาหารเช้าเพื่อควบคุมน้ำหนัก จึงเป็นเหมือนกับปราการด่านแรกในการหยุดยั้งความอ้วน
เรื่องง่ายซึ่งเริ่มต้นตรงอาหารที่เราตักใส่เข้าปาก ถึงจะไม่มีผลการยืนยันอย่างเป็นทางการชัดเจนแต่จากรายงานการศึกษาข้างต้นคงพอจะทำให้เห็นได้ว่าการกินอาหารเช้านั้นไม่เพียงมีส่วนสำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกาย หากยังมี “แนวโน้ม” ในการช่วยป้องกันโรคอ้วนและโรคเบาหวาน รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ
แค่เพียงดูแลนิสัยการกินแต่ละมื้ออย่างพอดีและครบถ้วนตามหลักโภชนาการ ก็จะเป็นการรักษาสุขภาพอย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องเสีย “ค่าโง่” ให้กับโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทขายยาลดความอ้วนทั้งหลาย และยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บอีกนานัปการ
ไม่ต้องให้หยูกยา ไม่ต้องใช้เข็มขัดลดหน้าท้อง ไม่ต้องหาหมอให้สิ้นเปลืองเงินทอง
นี่แหละการลดความอ้วนด้วยการ “กิน” ของแท้</span>
เรียบเรียงจากรายงานเรื่อง “อาหารเช้ากับสุขภาพ” ของ สิติมา จิตตินันทน์ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>“ลดความอ้วนที่ “ต้นเหตุ” พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง ลดน้ำหนักอย่างถาวร ไม่กลับมาอ้วนอีก ด้วยสิ่งธรรมชาติความอวบ…อ้วน…ไขมันส่วนเกิน…ปัญหาสุขภาพ ฯลฯ แก้ไขได้ไม่ต้องอดอาหารไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายใช้ได้ผลแล้วมากกว่า 40 ล้านคน รับรองผลภายใน 1 เดือน สนใจดูรายละเอียดที่…”
“กำจัดส่วนเกิน ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง หุ่นฟิตเฟิร์มสวยภายใน 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์กว่า 40 ล้านคนทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่าได้ผลหุ่นสวย สุขภาพดีวันนี้เพราะป้องกันดีกว่ารักษาเสมอ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมฟรี…”</span></span>
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ (ด้วยวิจารณญาณ) ว่าข้อความข้างต้นเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ
และก็คงมีหลายคนยอม “เชื่อ” ตามที่โฆษณาชี้ชวน ไม่อย่างนั้นธุรกิจลดน้ำหนักคงไม่ลงทุนลงแรงส่ง Spam mail เหล่านี้กระจายทั่วทุกหัวระแหงบนโลกอินเทอร์เนต ให้นักท่องเว็บต้องรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอยู่บ่อยๆ (นี่ยังไม่นับข้อความตามเสาไฟฟ้าหรือรายการโทรทัศน์ประเภทโทรศัพย์มาสั่งซื้อสินค้าภายใน 24 ชั่วโมง รับไปเลยที่ตบยุงอีกหนึ่งอัน)
ถ้าจะนับกันโดยไม่ต้องพลิกหาข้อมูลอ้างอิงจากสถาบันวิจัยใด ปัญหาเรื่องพองหนอ-ไม่ยุบหนอของส่วนสัดสรีระร่างกาย น่าจะเป็นปัญหาหนักอกหนักกายอันดับหนึ่งของมวลมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่
แม้ว่าในอีกด้าน ปัญหาเรื่องปากท้อง การขาดอาหาร ความไม่มีจะกินของคน ก็ยังไม่เคยทุเลาเบาบางลงก็ตาม
อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น ?
ปรากฏการณ์ทำนองนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของบุญทำกรรมแต่ง หากเว้นไปเสียจากภาพสะท้อนของการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียม “ความอ้วน” เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันโดยตรงกับวิถีชีวิตที่ดำเนินกิจวัตรอยู่บนเส้นทางแห่งบริโภคนิยม
โดยเฉพาะเรื่องของ “การกิน”
ไม่ใช่แต่การกินมากๆ โดยไม่บันยะบันยังเท่านั้นที่ทำให้อ้วนได้ง่าย การกินน้อยๆ หรือยอมอดอาหารในบางมื้อ ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันเช่นกันว่าจะทำให้มีรูปร่างผอมเพรียวเสมอไป
รวมไปถึงเรื่องความเชื่อมั่นในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่าจะมีวิทยาการใดมาใช้ “ดักจับความอ้วน” เหมือนแมวจับหนู เพื่อจะช่วยให้เรามีให้มีรูปร่างที่สมส่วนโดยไม่ต้องออกกำลังกาย และไม่ต้องตัดใจจากบรรดาของโปรดที่ล้วนแต่ต้องทำสงครามกับแคลอรีในร่างกายอย่างหนักหน่วง
ถ้ายังไม่เบื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว เราขอชวนให้คุณเชื่อสักหน่อยได้ไหมว่า การกิน “อาหารเช้า” (อย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการ) นี่แหละ จะทำให้คุณสามารถลดความอ้วนได้!
<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>วันนี้คุณกินอาหารเช้าหรือยัง</span></span>
อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน
แหม เรื่องแบบนี้ใครๆ ก็รู้…การอดอาหารเช้าจะทำให้การเรียนและการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย อ่อนเพลียและง่วงนอน เพราะขาดสารอาหารไปหล่อเลี่ยงสมอง หนักๆ เข้าก็อาจถึงขั้นปวดหัว-ปวดท้องเป็นโรคกระเพาะต้องเข้าโรงพยาบาลไปตามระเบียบ
นั่นสิ ทั้งที่ก็รู้ แต่เราก็ยังไม่ค่อยชอบกินอาหารเช้ากันสักเท่าไรอยู่ดี
อย่าถามเลยว่าทำไม ก็เห็นกันอยู่ ชีวิตคนเมืองมันมีแต่ความเร่งร้อน รถราก็แสนติดขัด แค่จะไปให้ถึงที่ทำงานตรงเวลายังต้องกระหืดกระหอบแทบตายประสาอะไรกับการมานั่งละเลียดกินนั่นกินนี่ กาแฟสักถ้วยก็อยู่ท้องแล้ว
ที่เป็นอย่างนี้เพราะคนส่วนใหญ่กินอาหารด้วยความรู้สึกว่าหิวหรือไม่หิว มากกว่าจะกินเพราะรับรู้ว่าเป็นความจำเป็นของร่างกาย ซึ่งไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าการเรียนหนังสือหรือการทำงานหากิน
โดยไม่รู้เลยว่าแค่การไม่กินอาหารมื้อเช้ามื้อเดียวนั้น ได้ก่อให้เกิดผลอะไรกับร่างกายบ้าง
จากการวิจัยผลของการกินอาหารเช้าต่อการตอบสนองของร่างกายทางด้านชีวเคมีพบว่า ภายหลังจากที่กลุ่มตัวอย่างกินอาหารมื้อเช้าเป็นเวลา 30 นาที ระดับน้ำตาลในเลือดได้ขึ้นถึงจุดสูงสุด จากนั้นระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลา 3 ชั่วโมง และค่อยๆ ลดลงถึงระดับต่ำสุดภายใน 6 ชั่วโมง
ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างซึ่งอดอาหารเช้า ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงภายในเวลา 30นาที จากนั้นระดับน้ำตาลได้เพิ่มขึ้นภายในเวลา 2 ชั่วโมง เนื่องจากร่างกายดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่สะสมไว้ที่ตับ ซึ่งเป็นเสบียงไว้ใช้ยามจำเป็น นำมาใช้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามพลังงานเหล่านี้ก็จะหมดไปในเวลาไม่นาน โดยระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจนถึงระดับต่ำสุดภายในเวลา 3 ชั่วโมง
อย่าชะล่าใจไป ถึงร่างกายจะมีกลไกรองรับพฤติกรรม การบริโภคอาหารแบบเอาแต่ใจของเราอยู่ แต่เมื่อทำอย่างนี้นานๆ เข้าก็จะส่งผลต่อการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้ค่าตัวชี้วัดเมตาบอลิซึมของความเครียดในร่างกายเพิ่มมากขึ้น
ยังไม่นับถึงเรื่องของพลังงาน โปรตีน วิตามินต่างๆ และจุลโภชนาสารที่ควรได้รับใน 1 วัน ซึ่งมีการศึกษาพบว่า ระหว่างคนที่กินและไม่กินอาหารเช้านั้น คนที่กินจะได้รับสารอาหารหลักที่เป็นประโยชน์ครบถ้วนมากกว่า ถึงแม้คนที่ไม่กินอาหารในมื้ออื่นๆ ทดแทนแล้วก็ตาม
ไม่เพียงเท่านั้น ลักษณะการกินอาหารแบบกินมื้อทดมื้อนี้แหละที่จะนำมาสู่ความอ้วน…อย่างที่เราเองก็คาดไม่ถึง
และหักล้างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำที่ใคร (ก็ไม่รู้) ทำให้เราเชื่อมาตลอดว่า <span style='color:red'>“กินน้อยๆ สิจะได้ไม่อ้วน" </span>
<span style='color:red'><span style='font-size:14pt;line-height:100%'>อดข้าวเช้า…กลัวอ้วน ?</span></span>
แม้เหตุผลหลักๆ ของคนที่ไม่กินอาหารเช้าจะเป็นเรื่องของการไม่มีเวลา ไม่รู้สึกหิว หรือไม่สะดวกในการตระเตรียมเป็นส่วนใหญ่
แต่มีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มีทัศนคติผิดๆ เกี่ยวกับการ “ลดน้ำหนัก” ด้วยการไม่กินอาหารเช้า และคิดไปเองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกิน
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ถึงแม้คนที่กินอาหารเช้าจะได้รับพลังงานจากสารอาหารมากกว่าคนที่ไม่ได้กินอาหารเช้า แต่เมื่อประเมินภาวะโภชนาการโดยใช้เกณฑ์น้ำหนักตามส่วนสูง และการเพิ่มของน้ำหนักและส่วนสูง กลับพบว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย
นั่นแสดงให้เห็นว่า การกินอาหารมื้อเช้านั้นไม่ได้ทำให้อ้วน ตรงกันข้ามไม่กินต่างหากจะนำมาซึ่งความเสี่ยงที่รุนแรงกว่า
จากการศึกษาโดย The Asian Food Information Center (AFIC 2002) ซึ่งการทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัย 4 แห่งในภูมิภาคเอเชีย พบว่า เด็กอายุ 10-12 ปี ซึ่งกินอาหารเช้าเป็นประจำทุกวัน มีโอกาสที่จะมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนน้อยกว่าเด็กที่ละเลยหรือกินอาหารเช้าเพียงบางวัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเด็กที่ละเลยอาหารเช้ามักจะรู้สึกหิวในช่วงสายๆ ของวันหรือตอนใกล้เที่ยงซึ่งทำให้เด็กเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกินอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น
สอดคล้องกับการในกลุ่มหญิงอเมริกันผิวขาวและผิวดำ อายุ 9-19 ปี โดย Affenito*และคณะ (2005) ที่แสดงให้เห็นว่า การกินอาหารเช้าเป็นประจำมีความสัมพันธ์กับการลดลงของค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) นิสัยการกินอาหารแต่ละมื้ออย่างพอดีไม่กินมากเกินไป การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อสุขภาพ ประกอบกับการออกกำลังเป็นประจำวันและการได้รับพลังงานต่อวันในปริมาณใกล้เคียงกันทุกวันและการได้รับพลังงานต่อวันในปริมาณใกล้เคียงกันทุกวัน นำไปสู่เหตุผลที่ว่าทำไม BMI ของหญิงที่กินอาหารเช้าเป็นประจำจึงมีค่าน้อยกว่าของผู้อื่นที่ละเลยอาหารเช้า
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันโดยตรงระหว่างการกินอาหารเช้ากับการควบคุมน้ำหนัก ดังเช่นรายงานการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกตีพิมพ์ใน The Journal of Obesity Research (2002) พบว่า ร้อยละ 80 ของอาสาสมัครซึ่งมีมากกว่า 3,000 คน ที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักส่วนเกินและยังสามารถรักษาน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้น ล้วนแต่เป็นผู้ที่กินอาหารเช้าเป็นประจำทั้งสิ้น ทั้งนั้เนื่องจากการกินอาหารเช้าในการควบคุมความหิวในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น
อีกทั้งจากผลการวิจัยของสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกา (2003) ยังพบด้วยว่า อัตราการเกิดโรคอันเนื่องมาจากภาวะดื้อต่ออินซูลินหรือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อต่างๆ ไม่ค่อยตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง (ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ได้แก่ ภาวะไขมันในเลือดสูง ความอ้วน ความดันเลือดสูง) มีค่าลดลงในผู้ที่กินอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอถึงร้อยละ 35-50 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่กินอาหารเช้าอีกด้วย
<span style='font-size:14pt;line-height:100%'><span style='color:red'>ลดความอ้วนที่ "ต้นเหตุ"</span></span>
<span style='color:green'>การกินอาหารเช้าเพื่อควบคุมน้ำหนัก จึงเป็นเหมือนกับปราการด่านแรกในการหยุดยั้งความอ้วน
เรื่องง่ายซึ่งเริ่มต้นตรงอาหารที่เราตักใส่เข้าปาก ถึงจะไม่มีผลการยืนยันอย่างเป็นทางการชัดเจนแต่จากรายงานการศึกษาข้างต้นคงพอจะทำให้เห็นได้ว่าการกินอาหารเช้านั้นไม่เพียงมีส่วนสำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกาย หากยังมี “แนวโน้ม” ในการช่วยป้องกันโรคอ้วนและโรคเบาหวาน รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ
แค่เพียงดูแลนิสัยการกินแต่ละมื้ออย่างพอดีและครบถ้วนตามหลักโภชนาการ ก็จะเป็นการรักษาสุขภาพอย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องเสีย “ค่าโง่” ให้กับโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทขายยาลดความอ้วนทั้งหลาย และยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บอีกนานัปการ
ไม่ต้องให้หยูกยา ไม่ต้องใช้เข็มขัดลดหน้าท้อง ไม่ต้องหาหมอให้สิ้นเปลืองเงินทอง
นี่แหละการลดความอ้วนด้วยการ “กิน” ของแท้</span>
เรียบเรียงจากรายงานเรื่อง “อาหารเช้ากับสุขภาพ” ของ สิติมา จิตตินันทน์ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล