เมตาบอลิกซินโดรมคืออะไร ใครบ้างที่เสี่ยง
เมตาบอลิกซินโดรมเป็นกลุ่มอาการของความผิดปรกติที่เกิดขึ้นจากกระบวนการที่ร่างกายเราใช้อาหารเป็นพลังงาน หรือกระบวนการเผาผลาญอาหาร (เมตาบอลิซึม) นั่นเอง คนที่มีความเสี่ยงต่อโรคเมตาบอลิกซินโดรมคือคนที่มีเส้นรอบเอวใหญ่หรือลงพุง เมื่อเร็วๆ นี้สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติได้กำหนดเกณฑ์การตัดสินเมตาบอลิกซินโดรมดังนี้
- สำหรับคนเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ชายมีเส้นรอบเอวตั้งแต่ 90 ซม. และหญิงตั้งแต่ 80 ซม.ขึ้นไป ร่วมกับความผิดปรกติต่อไปนี้ตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป
- ความดันโลหิต > 130/85 มม.ปรอท หรือ กินยาลดความดันอยู่แล้ว
- เอชดีแอลคอเลสเทอรอล < 40 มก./ดล สำหรับผู้ชาย และ < 50 มก./ดล สำหรับผู้หญิง
- ไตรกลีเซอไรด์สูง >150 มก./ดล.
- ระดับน้ำตาลเริ่มสูง แต่ยังไม่ถึงกับเป็นเบาหวานคือ > 100 มก./ดล. หรือคนเป็นเบาหวานอยู่แล้ว
ความดื้อต่ออินซูลินเป็นกุญแจสำคัญของโรค
ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ทราบสาเหตุุชัดเจนของการเกิด แต่เชื่อว่ากุญแจสำคัญคือ ความดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุุของเบาหวานประเภท 2 ด้วยเช่นกัน เมื่อร่างกายมีความดื้อต่ออินซูลิน (ฮอร์โมนที่นำน้ำตาลในเลือดที่มาจากการย่อยอาหารเข้าสู่เซลล์ เพื่อจัดการเปลี่ยนเป็นพลังงาน) ประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินลดลง ทำให้น้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ไม่ได้ ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้น นานวันเข้าก็จะกลายเป็นเบาหวานได้ ดังนั้นเมตาบอลิกซินโดรมจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า อาการดื้อต่ออินซูลิน

สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ โรคนี้มีสายใยพัวพันกับความผิดปรกติ 2 ประการที่เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือด นั่นก็คือการเกิดการอับเสบในหลอดเลือด ซึ่งประเมินได้โดยการตรวจค่า ซี-รีแอคทีฟโปรตีน (C-reactive protein) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ซีอาร์พี (CRP) ซึ่งจะมีระดับสูงกว่าปรกติ และอีกความผิดปรกติคือ การที่เลือดแข็งตัวง่าย ซึ่งการทดสอบยังไม่แพร่หลาย ฉะนั้นผู้เชี่ยวชาญแนะว่าถ้าเส้นรอบเอวเกินอัตราเมื่อไรก็ควรตรวจอาการอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้วรวมทั้ง ซีอาร์พี ด้วย
วิธีรับมือกับเบตาบอลิกซินโดรม
ข่าวดีก็คือถ้ามีเพียงเมตาบอลิกซินโดรมยังมีโอกาสบำบัดให้เป็นปรกติได้ ถ้ารีบทำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังอาจใช้ยาเบาหวาน ที่ชื่อว่า Metformin (Glucophage) ช่วยในการรักษา แต่ข้อมูลการวิจัยชี้ชัดว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ผลดีกว่าการใช้ยาในการป้องกันเมตาบอลิกซินโดรม หรือขจัดโรคให้คืนสู่ภาวะปรกติ
สูตรง่ายๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคือลดน้ำหนักลงมาเพียง 7% เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่นเดินเร็ว 150 นาทีขึ้นไป ทุก ๆ สัปดาห์ ก็จะช่วยรักษาโรคนี้ได้แน่นอน
การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการควบคุมโรคนี้ การออกกำลังกายชนิดแอโรบิกแบบสะสมให้ได้วันละ 30 นาที ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน หรือจะทำทีเดียววันละ 30 นาที หรือแบ่งทำวันละ 2-3 ครั้ง รวมแล้วให้ได้วันละ 30 นาทีก็ให้ผลในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และเบาหวานได้แม้น้ำหนักยังไม่ลดก็ตาม การออกกำลังกายช่วยป้องกันการเพิ่มน้ำหนักตัวและช่วยให้เซลล์ใช้ฮอร์โมนอินซูลินอย่างมีประสิทธิภาพ
อาหารป้องกันเมตาบอลิกซินโดรม
ไม่มีอาหารเฉพาะเจาะจงสำหรับเมตาบอลิกซินโดรม เนื่องจากปริมาณคาร์โบไฮเดรตกำหนดความต้องการฮอร์โมนอินซูลิน นักวิจัยจึงเห็นว่าการควบคุมปริมาณและคุณภาพของคาร์โบไฮเดรตเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันหรือขจัดเมตาบอลิกซินโดรม
ปริมาณอาหารที่แนะนำให้กินเพื่อป้องกันเมตาบอลิกซินโดรม มีดังนี้ คาร์โบไฮเดรต 40-50% ของพลังงานต้องมาจากธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้และผัก อีก 40% ของพลังงานมาจากไขมันจากพืชและปลา (เช่นน้ำมันมะกอก ถั่วเหลือง ดอกทานตะวัน และน้ำมันปลา) ที่เหลือ 10-20 %มาจากโปรตีนไขมันต่ำ (เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง) อาหารที่รับประทานถ้ามีโปรตีนและไขมันในจะช่วยให้ระดับน้ำไม่สูง ช่วยให้องค์ประกอบของอาหารดีขึ้น เพิ่มความรู้สึกอิ่มและเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากมีข้อแนะนำอื่นดังนี้
<span style='color:green'>•กินอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ จะช่วยควบคุมความหิวได้ดีขึ้น
•ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง โดยเฉพาะมื้อเช้า
•เลือกคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด ลูกเดือย ฟักทอง เผือก มัน ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้
•เลือกไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันรำข้าว ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน
•เพิ่มกรดโอเมก้า 3 จากปลาทะเล วอลนัท และแฟลกสีด
•จำกัดอาหารฟาส์ตฟู้ด และคาร์โบไฮเดรตขัดสี เช่น ขนมปังขาว ข้าวขัดขาว น้ำตาล</span>
เมตาบอลิกซินโดรมเป็นกลุ่มอาการที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย แต่ก็สามารถป้องกันหรือแก้ไขได้ด้วยอาหารที่ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงและการออกกำลังร่วมกับการลดน้ำหนัก อย่าปล่อยให้อ้วนลงพุง จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจวาย เส้นเลือดสมองตีบ และเบาหวาน ฉะนั้นทุกครั้งที่ตรวจสุขภาพอย่าลืมประเมินความเสี่ยงว่าโรคเมตาบอลิกซินโดรมมาเยือนแล้วหรือยังด้วยนะคะ