ก๊อปมาอีกล่ะคะ แต่ถ้ามีเวลาพี่แกมี เวปไซท์ ค่ะ เดี๋ยวหนูลงไว้ค่ะ
มีน้องคนหนึ่งซึ่งผมเคยรู้จัก สนิทสนมกันตามสมควร
เป็นคนที่เราเรียกว่าทุพพลภาพ ใจกลับแกร่งเกินคนปกติ
อยากเล่าเรื่องของเขาให้ฟังครับ เป็นเรื่องสั้นๆ เขียนไว้หลายเดือนแล้ว
ลองอ่านเล่นดูนะครับ
เสาร์ที่ 4 ตุลาคม 51..
จากถนนสายปทุมธานี – บางเลน ผมแยกเข้าถนนสายรอง มองไปบนหน้าปัดรถที่ตั้งระยะทางไว้ ราวๆสี่สิบกิโลเมตรเศษๆแล้วจากบ้านผมที่ อ.สามโคก มาถึงตรงนี้.. ผมเคยมาที่นี่เมื่อสามปีก่อนครับแต่มารถที่คนอื่นขับ มันเป็นความจำที่ค่อนข้างรางเลือนพอสมควร เป็นอย่างนี้ประจำครับ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็ตามหากผมไม่ได้ขับรถเอง ก็มักจะจำเส้นทางไม่ค่อยได้
“ จากปากทางวัดเว .. เลี้ยวมาเลยครับพี่ เลี้ยวมาแล้ว ก็เจอคันนา แล้วก็เลี้ยว มาเจอบ้านผม ”
โอเคน้อง... ผมวางสายโดมไปแบบนั้นเมื่อสักสองนาทีก่อน เขาพยายามอธิบายเส้นทางอย่างละเอียดที่สุดแล้ว แต่พอขับมาได้สักพักก็เริ่มมึนหัวตึ๊บๆขึ้นมาอีก มองไปซ้ายขวาก็เหมือนกันหมด ท้องนาข้าวเก็บเกี่ยวไปแล้วเป็นส่วนมาก สลับฉากก็เป็นโรงเรือนฟาร์มกล้วยไม้ของชาวบ้านผู้พอมีอันจะกินแถบนิ้ไปตลอดทาง
ไม่เห็นอะไรที่จะทำให้ผมคุ้นหูคุ้นตาขึ้นบ้างเลย มันไม่ใช่แล้วละมั้ง อีกทั้งขับไปได้สักพัก ทางลาดยางเล็กๆที่เต็มไปด้วยหลุม จากรอยน้ำท่วมเมื่อ ปี 2549 ก็เริ่ม แปลงสภาพเป็นทางลูกรังไปเสียเฉยๆ ผมเพ่งมองตรงไป เห็นแนวต้นมะม่วงขวางหน้าอยู่ และเหมือนว่าถนนที่ผมขับมามันก็จะมุดหายเข้าไประหว่างต้นมะม่วงแคบๆนั้นเสียอีกด้วย
และก่อนที่จะต้องยกหูโทรถามโดมอีกครั้ง ผมเหลือบมองไปทางขวา ฝ่าเปลวแดดตอนบ่ายไปไกลพอสมควร ก็เห็น****หนุ่มบนรถเข็นคันหนึ่งโบกมือหยอยๆให้ผม ยิ้มกว้างฟันขาวเห็นแต่ไกล แน่แล้วเป็นอื่นไม่ได้แล้ว ผมยิ้มออกมาได้ หักรถแยกไปทางขวาทันท่วงทีก่อนจะพุ่งเข้าดงมะม่วงที่ว่าไป
ขับรถไปเทียบข้างรถเขา ลดหน้าต่างลง แขนเล็กๆบางๆก็กระพุ่มไหว้ผม
“ สวัสดีครับ พี่พนธ์ ”
เสียงเขายังใสเหมือนเดิม หน้าตาก็ดูเป็นหนุ่มขี้น รถเข็นยังคันเดิม แต่เนื้อตัวดูผอมลงไปบ้างสักหน่อย พอจอดรถเข้าที่เข้าทางแล้วก็ได้ลงมาตบหลังตบไหล่กันอย่างเคย เขาทักว่าผมสมบูรณ์ขึ้นเล็กน้อย ไม่ถึงอ้วน แต่ประมาณว่าท้วมขึ้นบ้าง
ก็เห็นจะจริงดังคำเขา สามปีที่ไม่ได้พบกันอัตราส่วนน้ำหนักระหว่างเขากับผมค่อนข้างจะสวนทางกัน โดม ผอมลงกว่าที่เคยเห็น เพราะไม่ค่อยสบาย ส่วนผมอ้วนขึ้นเล็กน้อยเพราะสบาย สบายดี กินได้ นอนหลับ
ย้อนความให้ฟังกันบ้างว่าใครเป็นใคร ก็จะได้ความว่า ในตอนนั้น รายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ซึ่งนำเสนอเรื่องราวสารคดีจากชิวิตจริงของผู้คนอันหลากหลายในสังคม ต้องการถ่ายทำเรื่องราวเกี่ยวกับ คนพิการซึ่งด้อยโอกาสในสังคม โดมเป็นหนึ่งในเจ็ดคน ของผู้พิการที่ทางรายการเลือกให้ได้รับโอกาสนั้น
โดย คนพิการทางร่างกายทั้งเจ็ดคนจะได้ไปเที่ยวป่า ไปดูผีเสื้อ ไปน้ำตก นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ จะได้ทำอะไรอีกมากมาย ที่ปกติเป็นสิ่งซึ่งคนพิการแทบไม่มีอากาสได้ทำ ส่วนผม ก็ได้สิทธิพิเศษบางประการในฐานะที่เป็นคนเคยทำกิจกรรมกับคนพิการมาบ้างผ่าน การเป็นอาสาสมัครในค่ายเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ความจริงแล้วพิการกับด้อยโอกาสก็คือคำเดียวกันละครับ เพียงแต่มันฟังดูรื่นหูขึ้นเล็กน้อย
ผมจะต้องเดินทางไปกับเด็กทั้งเจ็ดคน โดยมีหน้าที่ดูแลพวกเขาตามปกติ และ ใช้ประสบการณ์ที่เคยมีช่วยชี้ชวนให้พวกเขาได้สนุกและได้ประสบการณ์ความรู้ที่ดีเกี่ยวกับธรรมชาติต่างๆ
เป็นปาฏิหาริย์ชนิดหนึ่งทีเดียวสำหรับคนพิการครับ หากบอกว่า จะได้เดินป่า จะได้นอนเต็นท์ จะได้ก่อกองไฟ..