ครัวไกลบ้านได้ทำการปรังปรุงเวบไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในระบบสมาร์ทโฟน และได้รวมข้อมูลเมนูอาหารและ สมาชิกจากทั้งเวบไซต์เก่าและใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

สมาชิกท่านไหนมีปัญหาไม่สามารถล็อกอินได้ ให้ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดโดยคลิ๊กลิ้งค์นี้ ลืมรหัสผ่าน
ถ้าท่านใดมีชื่อสมาชิกมากกว่าหนึ่งชื่อแล้วต้องการรวมโพสทั้งหมดให้อยู่ในชื่อสมาชิกเดียว หรือมีปัญหาในการใช้เวบไซต์
สามารถส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดมาได้ที่ admin@kruaklaibaan.com หรือส่งข้อความได้ที่ user: sillyfooks

ถ้าชอบครัวไกลบ้าน อย่าลืมคลิ๊กไลค์เฟสบุ๊คให้ครัวไกลบ้านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

Culture Shock

อยากคุย อยากเล่า อยากบ่น เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องสารพันปัญหา เชิญคุยกันได้ตามสบายที่ห้องนี้ค่ะ

โพสต์โดย ยายหนู » อังคาร ส.ค. 01, 2006 8:04 pm

เมื่อได้มีโอกาสเข้าเรียนในคอร์ส ESL หรือ English as Second Language ที่อเมริกา ทางอาจารย์ผู้สอนได้นำบทความที่เกี่ยวข้องกับ culture shock มาให้ได้อ่านกัน เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่ก็คือ non native speaker ประทับใจบทความดังกล่าว จึงได้นำเอามาให้เพื่อน ๆ ได้รับทราบกัน กับอีกมุมนึงของ culture shock ส่วนที่มาของหนังสือนั้นไม่ทราบแน่ชัด เพราะทางอาจารย์นำฉบับที่ถ่ายเอกสารมาแจกอีกที

"You're going to the United States to live ? How wonderful! You're really lucky! ขึ้นต้นประโยคมาอย่างนี้รู้สึกคุ้นกันบ้างหรือเปล่าค่ะ ถ้าจะให้คุ้นก็ต้องนี่เลยค่ะ ว่ากันเป็นภาษาไทยบ้านเราเลย โอ้โห จะไปอยู่อเมริกาเหรอ ไปได้ไงอ่ะ อิจฉา อยากไปบ้างจัง โชคดีจริง ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันวันเด้อฟุลอย่างว่าจริง ๆ เหรอ ชีวิตของเราที่ตั้งใจจะมาเริ่มชีวิตใหม่ในประเทศใหม่นั้น จะสวยหรูและน่าตื่นเต้นอย่างว่าจริงหรือเปล่า แต่สำหรับคนที่มาเที่ยว มาดูงาน มาพักอาศัยในระยะสั้นนี่ไม่เท่าไหร่ แต่พวกที่มาอยู่เป็นปี หรือมาอยู่เลย ทางผู้เชี่ยวชาญด้านการปรึกษาความแตกต่างทางวัฒนธรรม ท่านได้ทำการศึกษาและกล่าวไว้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ กับการที่จะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมในประเทศที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน ซึ่งความรู้สึกนี้ รู้จักกันในนามของ Culture Shock


ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญได้จัดลำดับขั้นตอนของ culture shock ไว้สามขั้นตอนดังนี้ ขอใช้คำว่า new comer ในการเรียก ผู้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในประเทศ (ตามบทความ)

ระยะแรก เมื่อ new comer มาถึง แรก ๆ จะรู้สึกชอบทุก ๆ อย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัว ไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี่ไม่เบื่อ ตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด

ระยะที่สอง เมื่อ new comer เริ่มคุ้นเคยกับสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวแล้ว ก็จะเริ่มมีการเกลียดเมืองที่อยู่อาศัยเอง เกลียดประเทศที่มาอยู่อาศัย เกลียดผู้คนรอบ ๆ ตัว เกลียดอพาร์ทเม้นต์ที่อยู่อาศัย เกลียดทุก ๆ อย่างในประเทศนี้

ระยะสุดท้าย new comer ก็จะเริ่มปรับปรับกับทุก ๆ กับสิ่งที่อยู่รอบข้าง เริ่มใช้เหตุผลในการใช้ชีวิตมากขึ้น ประมาณว่า Life must go on และจะเริ่มมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น

ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด culture shock อย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ นั่นคือ เรื่องของอากาศ หนาวเกินไป ร้อนเกินไป อย่างหิมะไม่เคยเห็นก็อยากเห็น แต่พอสองอาทิตย์ผ่านไป ยังไม่หยุด ความรู้สึกคืออยากกลับบ้าน เดือนนึงแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ก็เลยต้องทำใจ เพราะหน้าหนาวทีนี่ก็หกเดือนค่ะ ยิ่งไม่มีรถนี่ยิ่งลำบาก ต้องไปไหนมาไหนด้วยรถประจำทาง ซึ่งต้องเดินไปยืนรอที่ป้ายตอนอุณหภฺมิติดลบ เดินไปร้องไป น้ำตาที่ออกมาก็กลายเป็นน้ำแข็งติดกรังอยู่ที่ข้างแก้ม น้ำมูกก็แข็งเกรอะติดอยู่ในรูจมูก บางครั้งอากาศแห้ง ในรูจมูกนี่ เลือดแห้งกรัง ตอนนอนก็จมูกก็แห้ง หายใจไม่ออก ต้องหา normal saline มาพ่นจมูกเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นหรือหาซื้อเครื่องเพิ่มความชื้น

บางครั้งเรื่องการแต่งตัวก็เป็นปัญหา พอหน้าหนาวทีก็ต้องห่อตัวยังกะแหนม ไม่ห่อก็ไม่ได้มันหนาว รองเท้าก็ต้องหารองเท้ากันหิมะ อาจจะต้องใส่ thermo underwear กันหนาว แต่พอเข้าในตัวอาคารก็ทำไงล่ะทีนี้ ก็ต้องถอดหอบกันไป บางทีไอ้ thermo underwear ก็ทำให้อึดอัดจะถอด ก็ขี้เกียจใส่กลับอีก แต่หน้าร้อนนี่สบาย แข่งกันเซ็กซี่กับสาวมะกันล่ะค่ะ ทีนี้

หรือบางทีระบบการบริการสาธารณะ (plublic service system) นี่มันก็ทำให้เราปวดหัวได้เช่นกัน เช่น พวกโทรศัพท์สาธารณะ ไปรษณีย์ หรือพวกรถประจำทางต่าง ๆ ถ้าเราศึกษาให้ดีก็ดีไป แต่ถ้าศึกษาไม่ดีนี่ก็ปวดหัวเอาการอยู่เหมือนกัน และพวกบริการเหล่านี้ พอเราจะใช้แต่เมื่อเราทำผิด เราก็จะกลัวไปอีกสักพัก ไม่กล้าใช้อีก สิ่งที่เราเคยทำได้อย่างง่าย ๆ ที่เมืองไทยอยู่นี่กลายเป็นยากไปเสียหมด ยิ่งทำผิดก็ยิ่งท้อ อย่างการใช้โทรศัพท์สาธารณะเนี่ย อยู่บ้านเราหยอดเหรียญบาท เหรียญห้า เหรียญสิบได้ อยู่ที่นี่ก็ต้องหยอด quater อย่างเดียวเหรียญไรเหรอค่ะ ก็ไอ้เหรียญยี่สิบห้าเซ็นต์ของเค้านี่ละค่ะ ไอ้เรามันก็รู้มาว่าใช้เหรียญยี่สิบห้าเซ็นต์ ก็หยอดไปจัง มันก็ไม่ได้ แต่มารู้ที่หลังว่า การหยอดก็ต้องหยอดอย่างต่ำสองเหรียญ


ภาษานี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา กี่ครั้งที่เราต้องพูดซ้ำ ๆ กับประโยคเดิม ๆ ที่เราคาดหวังว่าจะได้คำตอบกลับมา ครั้งหนึ่งเคยถามคนขับรถ " Are you going to Central Avenue?" แหม คำว่า avenue นี่มันออกเสียงยากอ่ะ คนขับรถบัส "what?" เราก็อายไม่กล้าถามมาก " Never mind " ขึ้นผิดก็ค่อยลงละกัน แต่จริง ๆ แล้วการใช้รถเมล์ของที่นี่ เค้าจะมีตารางเวลาและบอกเส้นทางที่ผ่านให้เสร็จ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาไว้ก่อน

มาพูดถึงเรื่องอาหาร ตัวอย่างง่าย ๆ ก็อย่างผู้เขียนนี่ล่ะ แรก ๆ มาอร่อยอย่างเดียวคือ พิซซ่า เพราะว่า มันอร่อยกว่าบ้านเราจริง ๆ แต่ชีสเปล่า ๆ นี่กินไม่ได้ จะกินแซนวิซ ก็ร้องหาแคชชัพ ซอสมะเขือเทศนั่นเอง จนโดนฝรั่งล้อ พวก pickle นี่ก็ไม่แตะ มัสตาร์ทไม่กิน แต่ตอนนี้เหรอ ไม่อยากพูดถึง ชีสนี่กินเปล่า ๆ ยังได้ ถ้ากินกับแซนด์วิชนี่ก็ต้องมี pickle มีมัสตาร์ท ส่วนอะไรบ้างที่หอบมาจากเมืองไทยนะเหรอ อันแรกเลยคือ ครกส้มตำ หามะละกอในอเมริกาได้ไม่ได้ไม่รู้เว้ย ขอขนไปก่อนล่ะกัน ร้านไทยอาหารไทยก็หารสชาติแบบปากซอยไม่ได้ มีแต่ดัดแปลง จะสั่งสเต้กที่นี่ คำว่า steak เค้าก็คือ beef อะ ไม่เหมือนบ้านเรา มีหมด steak ปลา หมู เนื้อ ไก่ มาแรก ๆ ก็เอ๋อ เหมือนกัน พูดถึงอาหารแล้วก็ขอพูดถึงเรื่องทิปหน่อย ถือว่าเป็น culture shock ได้เหมือนกัน เพราะว่า แรก ๆ มานี่ทิปสองเหรียญนี่ก็เสียดายแล้ว แต่ไงได้ล่ะ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เดี๋ยวโดยด่าตามหลัง แต่ตอนนี้เหรอ ชินล่ะ ทิปแต่ละครั้งต้องอย่างน้อย 15%

ต่อมาก็มาถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาไทย ๆ เอเชี่ยนอย่างพวกเราไม่ค่อยจะมีใครบอกถูกหรอกว่า เราเป็นคนชาติไหน เหมือนกันที่เราแบ่งแยกพวกฝรั่งไม่ออกเหมือนกัน ว่ามาจากอังกฤษ สวิส เยอรมัน หรือ เมกา เห็นหัวทอง ๆ ก็เหมาเป็นฝรั่งนั่นล่ะ จากหน้าตาสวย ๆ หัวดำอย่างเราที่มาเดินดุ่ม ๆ อยู่ในอเมริกา จริง ๆ แล้วอเมริกาก็มีคนหลายเชื้อหลายชาติ ยิ่งพวกแมกซิกันนี่เยอะจริง ๆ แรก ๆ มาเราก็จะรู้สึกว่าหน้าตาเรามันแปลกไปจากพวก native แถมไม่มีความมั่นใจเรื่องการสื่อสารอีก ก็เลยกลายเหมือนตัวประหลาด เดิน อยู่ก็รู้สึกเหมือนมีคนมอง เหมือนทุกคนที่รายล้อมตัวเรามองเรา เหมือนคนแปลกหน้า ทั้ง ๆ ที่ไม่มี ความจริง นั่นคือ ตัวเรานะล่ะ กำลังมองตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ คือ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองหรือประหม่านั่นเอง (self-conscious)

ใครกันบ้างล่ะในที่นี้ ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ culture shock ก็ทุกๆ คนนั่นล่ะที่เคยประสบพบเจอมาแล้ว ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งที่กล่าวมา culture shock เกิดได้กับทุกคน แต่โดยส่วนใหญ่ คนที่ culture shock แย่ ๆ ที่สุด ก็จะเป็นคนที่ใช้ชีวิตสบาย ๆ ที่เมืองไทยมาก่อน จะทำอะไรก็ง่ายไปหมด เป็นคนเก่งว่างั้น อยู่เมืองไทย มีงานดี มีเงินใช้ ประสบความสำเร็จในด้านการเรียน การงาน มีอะไรให้ทำยามว่าง แต่เมื่อย้ายมาอยู่ในอเมริกา หรือเมืองนอก ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนกับที่เคยทำที่เมืองไทย ไม่มีงานดี ๆ วันหยุดจะออกไปเที่ยวทะเล บางแสนหรือพัทยา ที่นี่เหรอจะหาทะเลก็โน่นเลย สาม ชม หรือข้ามรัฐกัน ใครโชคดีหน่อยอยู่ใกล้ทะเล สถานที่เที่ยวก็ดีไป หรือการไม่ได้รับการยอมรับหน้าถือตาจากบุคคลรอบข้าง อาจจะเนื่องมาจากภาษา ขับรถไม่ได้ กลัวเพราะขับกันคนละด้าน ว่าแล้วก็อิจฉาคนจีนที่ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากในเรื่องของการขับรถ เพราะเค้าขับด้านเดียวกับอเมริกา

ดังนั้น การที่เรามาอยู่ในอเมริกา ต้องพยายามหาอะไรทำ ที่ทำให้เราคิดถึงเมืองไทยน้อยที่สุด หรือไม่มีเวลาคิดถึง พยายามทำอะไรให้ได้ด้วยตัวเอง ค้นหาตัวเองให้เจอว่าเราอยู่ตรงจุดไหน และก็จะต้องสร้างภาพใหม่ ๆ ที่ดี ๆ ให้กับตัวเอง ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ให้ได้

อาการของ culture shock บางครั้ง ทำให้เรารู้สึกเหมือนเรากำลังหลงทาง สับสน และเป็นสาเหตุุุุุุุุทำให้เกิด homesickness อาการคิดถึงบ้าน ร้องไห้ เครียด รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล (paranoia) ทำตัวเหมือนคนป่วย ไม่สบายตลอดเวลา เมื่อเรารู้สึกเช่นนั้นทำให้ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากเจอผู้เจอคน รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยเมื่ออยู่แต่ในบ้าน ไม่อยากพูดภาษาอังกฤษ อาการนี้เคยเป็น ถ้าวันไหนเจอคนพูดภาษาอังกฤษให้ฟังทั้งวัน จนตัวเองรู้สึกว่า พอแล้วไม่ไหวแล้ว ต่อให้ใครมาพูดด้วยแค่ประโยคง่าย ๆ ขนาดไหนก็ไม่รู้เรื่องแล้ว Leave me alone แล้วก็อยากจะพูดไทยมาก ๆ แต่การแก้ปัญหาเช่นนี้ เป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น ๆ ซึ่งการเก็บตัว ไม่พูด ไม่คุย จะพาลทำให้คุณไม่คุ้นเคยกับผู้คน กับวัฒนธรรมของประเทศเค้าและสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ทางแก้คือ ความคุ้นเคยและประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ระยะเวลาที่ผ่านไป เหตุการณ์ที่ได้พบเจอ ในประเทศนี้จะช่วยให้คุยแก้ปัญหากับ culture shock ในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

เคยได้พูดคุยกับคนญี่ปุ่น เค้าเล่าให้ฟังว่า ตัวเค้ามีเคยแบบที่ว่ามา คือ liking , hating and adjusting ระยะเวลาการเกิดแต่ละระยะนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะปรับตัวได้มากแค่ไหน บางคนแค่ไม่กี่เดือนบางคนเป็นปี อย่างผู้เขียนนี่เรียกว่าเป็นปีเลยล่ะ คุยกันไปเค้าบอกว่า จริง ๆ น่าจะมีระยะที่สี่ด้วยนะ ระยะแบบว่า ไม่อยากกลับประเทศ เค้าอยู่ในอเมริกาประมาณ เจ็ดแปดเดือน ก่อนกลับไปญี่ปุ่น เค้าเล่าให้ฟังว่า ตอนเค้ากลับญี่ปุ่น รู้สึกเหมือนกับแปลกที่แปลกทาง ทุกอย่างรอบ ๆ ตัวจากที่เคยได้ยินแต่เสียงคุยภาษาอังกฤษใส่หูทุกวันก็กลายเป็นภาษาญี่ปุ่น จะหาว่าเพื่อนญี่ปุ่นคนนี้โม้ก็ไม่น่า ก็เคยได้ยินเหมือนกันว่า คนไทยที่อยู่อเมริกามานาน พอกลับไปเยี่ยมเมืองไทยก็อยากกลับเมกา พออยู่เมกาก็อยากกลับไทย อืม อย่างนี้ก็คงขึ้นอยู่กับเหตุผลของแต่ละคนเหมือนกันนะ แล้วจะเรียกระยะที่สี่ว่าอะไรดี <a href='http://www.usvisa4thai.com/' target='_blank'><span style='color:blue'>เข้าไปเยี่ยมชมได้ที่นี่</span></a>
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย Amelia » พุธ ส.ค. 02, 2006 3:50 am

ขอบคุณค่ะ ยายหนู อันดับแรกภาษาแจ๋ก็ยังแย่มากๆอยู่เลย ปลายเดือนนี้จะเริ่มไปเรียนภาษาแล้วค่ะ เพราะลูกชายขึ้น ป. ๑ แล้ว เรียนถึง ๓ โมง แม่มีโอกาสออกไปเรียนบ้าง ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้ไปไหน เพราะลูกกลับจากรร. ๑๑.๓๐ ต้องรอเขากลับบ้าน เลยอยู่แต่ในบ้าน อาศัยแต่เน็ตเป็นเพื่อนแก้เหงา และทำอาหารทั้งวัน ปลายเดือนหน้า เราจะติดปีกบินมั่ง ตอนนี้ก็สอบใบขับขี่ได้แล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Amelia
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2791
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2006 5:45 pm
ที่อยู่: ใกล้ๆรังสิต

โพสต์โดย Sanhathai » พุธ ส.ค. 02, 2006 8:11 am

เข้ามาแจมด้วยคนค่ะ แต่ว่าไม่ได้อยู่อเมริกา

ตอนแรกที่มาดูไบใหม่ๆ ก็ตกใจมากกับผู้คนที่นี่ เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีชนชาติอื่น
ที่ไม่ใช่คน Emiratis อยู่เยอะอย่างนี้ มาแรกๆ ยังไม่รู้อะไรก็ตื่นเต้น ไปไหนก็ยังไม่กล้าไป
ผู้คนก็ไม่อยากจะคุยด้วย เพราะไม่ชินอังกฤษสำเนียงแขก (ทั้งแขกอินเดียน / แขกอาหรับ)

ขับรถก็ยังไม่ค่อยกล้าเพราะขับคนละด้านกับเมืองไทย
อาหารก็ยึดติดแต่อาหารไทยอย่างเดียว ตอนนั้นยังอยู่ Serviced Apartment
พอดีอยู่ใกล้ๆ กับห้างฯ ก็พึ่งแต่ Food Court ตลอด ไม่คิดที่จะทำเอง เพราะติดนิสัยมาจากเมืองไทย
แถมโชคดีมีอาหารไทยขายด้วย เรื่องทำกับข้าวเองก็ไม่ต้องพูดถึง

ต่อมาได้บ้านเช่าเป็นเรื่องเป็นราว ต้องย้ายออกมาแถบนอกเมือง ใกล้ๆ สนามบิน ก็ใจหาย
เพราะตอนนั้นยังไม่มีห้างฯ หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต ให้พวก Expat อย่างเราได้ซื้อ ไอ้ที่มีเราก็
ไม่รู้จัก ไปไม่เป็น รถก็ยังขับไม่ได้ ไปไหนมาไหนก็ต้องใช้บริการรถแท๊กซี่ซึ่งก็แพงจริงๆ

ต่อมาเริ่มลงคอร์สเรียนนู่นนี่ ก็ทำให้มีเวลาออกจากบ้านบ้าง ไม่งั้นประสาทรับประทาน วันๆ
ก็ได้แต่รอคุณสามีกลับมาจากทำงาน จะไปไหนก็ต้องเพิ่งคุณสามีตลอด เพราะเป็นคนที่เราไว้ใจ
อยู่คนเดียว

พอเริ่มหางาน ได้งานทำ ความตั้งใจต่อไปคือ ต้องขับรถให้ได้ จะได้ไปไหนมาไหนคล่องตัว
ไม่ต้องง้อสามี ง้อแท๊กซี่ ทุกวันนี้เราปรับตัวได้เยอะแล้ว แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ในบางเรื่อง
คิดๆ เอาว่า ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ประเทศเรา!
<u><span style='color:purple'><b>Amy@Dubai</b></span></u>
ภาพประจำตัวสมาชิก
Sanhathai
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 573
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2006 1:21 pm
ที่อยู่: Dubai, United Arab Emirates

โพสต์โดย ainsworth » พุธ ส.ค. 02, 2006 1:24 pm

ยายหนูคะ อาการที่สี่น่าจะเรียก อาการรักพี่เสียดายน้องค่ะ ฮี่ฮี่

คนที่ไปอยู่ประเทศที่พูดภาษาอังกฤษนี่ยังดีนะคะ ส่วนคนที่อยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาต่างไปคงอาการหนักยิ่งกว่า
<br><br><img src='http://i57.photobucket.com/albums/g239/sthelens/Icons/mixfruits.jpg' border='0' alt='user posted image' /><br><br>
ภาพประจำตัวสมาชิก
ainsworth
แม่ไข่หวาน พ่อไข่เค็ม
 
โพสต์: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 25, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย ชงโค » จันทร์ ส.ค. 07, 2006 8:36 am

เคยไปเรียนที่อเมริกา แต่ไม่เคยรู้สึก culture shock เลยค่ะ รู้สึกสนุกตื่นเต้นเพราะได้ดูแลตัวเองทุกอย่าง เป็นอิสระดี ได้ทำงานหลายอย่างในมหาวิทยาลัยที่เรียนและงานเสริฟอาหารที่ร้านอาหารไทย เคยรู้สึกคิดถึงบ้านอยู่ครั้งเดียวในรอบ 3 -4 ปีที่ไปอยู่ แก้ปัญหาด้วยการตะโกนร้องเพลงไทยในป่าแถวๆ หอพักในมหาวิทยาลัย (เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครก็บรรเลงเลย) พออยู่นานไปซักพัก บางทีจะลืมคำบางคำในภาษาไทย นึกไม่ออก ไม่ได้แกล้งหรือดัดจริต แต่เป็นเพราะไม่ได้ใช้นานๆ แล้วมันลืม บางทีก็ลืมไหว้เวลาเจอรุ่นพี่ ก็ไม่ได้ไหว้บ่อยๆ น่ะ กลับมาเมืองไทยช่วงหนึ่งจะรู้สึกไม่คุ้นกับอากาศร้อนเสียงรถดังๆ รู้สึกต้องปรับตัวเวลากลับมาอยู่เมืองไทยมากกว่า ได้แต่เตือนตัวเองว่าตอนอยู่อเมริกาน่ะมันฝันไป แต่ตอนนี้ตื่นแล้วกลับมาอยู่กับความจริงได้แล้ว คิดถึงอเมริกามากๆๆๆๆ เลยค่ะ
ชงโคจ้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
ชงโค
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 1
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 25, 2006 11:47 am

โพสต์โดย aorangelus » ศุกร์ พ.ย. 24, 2006 4:02 pm

ตอนมาอยู่กรีซใหม่ๆก็เป็นแบบที่ยายหนูเล่ามานี่แหละ เพราะว่าตอนอยู่เมืองไทยใช้ชีวิตแบบสะดวกสบายไปทุกเรื่อง
หน้าที่การงานก็ดี ไปไหนมาไหนก็มีคนขับรถให้ ชอปปิ้งมันทุกวัน เรื่องเข้าครัวไม่ต้องถามไม่เคยเลยสักนิด ซื้อทานตลอด
พอมาอยู่ที่นี่เห็นเมืองหลวงเค้าครั้งแรกตกใจนึกว่า กรุงเทพฯเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ล้าหลังจากเมืองไทยมากๆ จากเมืองหลวงก็ต้องเดินทางต่อไปต่างจังหวัดเพราะสามีมีธุรกิจอยู่ที่นั่นยิ่ง ช็อคไปใหญ่ เพราะบ้านนอกมากๆ ยิ่งกว่าบ้านนอกในเมืองไทยซะอีก
คราวนี้พูดไม่ออกเลย คนที่นี่ก็ไม่พูดภาษาอังกฤษ ภาษากรีกก็ยากสุดๆ กว่าจะเข้าใจก็เล่นเอาเหงื่อตก เกลียดผู้คน เกลียดสภาพแวดล้อม เกลียดทุกอย่างจนพาลทะเลาะกับสามี กว่าจะปรับตัวได้ก็ขึ้นปีที่ 2 อาศัยว่ายอมรับความจริงไง ปลงว่ายังไงก็ต้องอยู่ที่นี่แหละ ชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป ก็เลยค่อยๆดีขึ้นค่ะ ก็ยังดีที่คนที่นี่เค้าเข้าใจว่าเราเป็นต่างชาติเค้าก็จะค่อยๆพูดช้าๆกับเราให้เราเข้าใจในสิ่งที่เค้าพูด แล้วก็ชอบมาคุยด้วยเพราะเค้าชอบเมืองไทย แล้วก็เมืองไทยเป็นประเทศที่คนที่นี่ฝันอยากจะไปเที่ยวกันสักครั้งในชีวิตเมื่อมีโอกาส
ใครว่าอยู่เมืองนอกสบาย
aorangelus
 

โพสต์โดย อำแดงสวีดา » ศุกร์ พ.ย. 24, 2006 4:30 pm

เคยแวะเข้ามาอ่านก่อนหน้านี้แล้วรอบนึง วันนี้แวะเข้ามาใหม่ขอลงชื่อไว้หน่อย

เพิ่งมาสวีเดน แล้วก็รู้สึกเหมือนที่ยายหนูเขียนตามลำดับทุกอย่าง
คนที่นี่ก็ไม่พูดภาษาอังกฤษด้วย โชคดีได้เรียนสวีดิชก่อนมา ก็ใช้มันปนกันมั่ว เขาถามสวีดิชมา หนูตอบอังกฤษไป 555

เวลาเดินไปไหนแรก ๆ ก็หวาดระแวงไปหมด เอ๊ยมันมองเราทำไมว๊า 555
ใช้เวลาปรับตัวอยู่สักพักในช่วงเดือนแรก ๆ ตอนนี้มาอยู่ใกล้ 6 เดือนแล้ว
เริ่มมองหาทางอยู่ให้รอดให้ได้ ในทริปหน้า เริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น ศึกษาความเป็นอยู่ของคนที่นี่มากขึ้น

แต่เพื่อน ๆ ที่อยู่สวีเดนบอกว่า อย่าไปหวังอะไรเลย ในปีแรก ทำใจให้สบาย
เพื่อนบางคนจังหวะดีมาก ปรับสภาพเร็วมาก มาอยู่นี่ไม่ถึงปีพูดสวีดิชได้คล่อง จนได้ทำงานการดีเชียว
Life is good!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
อำแดงสวีดา
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 409
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 25, 2006 4:09 pm
ที่อยู่: Sweden

โพสต์โดย แก้วเจ้าจอม » ศุกร์ พ.ย. 24, 2006 5:32 pm

เอ๋มาอยู่ที่ลักเซมเบิร์กนี่เกือบ 2 ปีแล้ว แรกๆ จะทำอะไรก็ต้องพึ่งพาสามีตลอด ไปซื้อของ ห้องน้ำ เวลาคนพูดอะไรมา ก็ต้องให้แฟนแปลให้ ยิ่งรถเมล์นี่ไม่ต้องพูดถึง พูดไม่เป็น อ่านไม่ออก ที่นี่เขาก็จะมีตารางบอกว่ารถมากี่โมงอะไรพวกนี้ มาอยู่เกือบ 2 ปี เพิ่งจะขึ้นรถเมล์เป็นก็ไม่กี่เดือนนี้เองคะ อาศัยไปซื้อของใช้เองเล็กๆ น้อย แล้วก็เบื่่อตัวเองด้วย พูดกับคนอื่นไม่ได้ ที่นี่หาคนพูดภาษาอังกฤษด้วยยาก เพราะมีภาษาลักเซมเบิร์กเป็นภาษาพื้นเมือง ภาษาฝรั่งเศลเป็นภาษาราชการ ภาษาเยอรมันหรือด้อยก็สำคัญ เพราะในทีวีก็ดูแต่โปรแกรมภาษานี้เยอะ แล้วบ้านติดเยอมันจะไปซื้อของก็ไปที่เยอรมัน แล้วเด็กที่นี่ก็พูด 3 ภาษาด้วย เด็กบางคนพูดภาษาสเป็น โปรตุเกสด้วย ตามพ่อแม่ ก็เป็น 4-5 ภาษา เพราะที่นี่คนจากประเทศอื่นมาทำงานเยอะมากหลายเชื้อชาติ ตอนนี้เอ๋ยังสับสนเรื่องภาษาอยู่เลยคะ ถ้าเจอคนพูดภาษาอังกฤษด้วยจะดีใจมากๆ ทั้งๆ ที่เอ๋ก็พูดได้งุๆ ปลาๆ เท่านัี้น แต่ก็เป็นภาษาเดียวที่พอจะสื่อสารคนอื่นได้คะ ดูๆ ไปเหมือนคนเป็นง่อย ทำอะไรไม่ค่อยได้ อยู่แต่ในบ้าน ตอนนี้เริ่มเบื่อสุดๆ กับการฟังคนอื่นไม่รู้เรื่องคะ เพราะรอบตัวมีหลายภาษาเหลือเกิน อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศล ลักเซมเบิร์ก และโปรตุเกสคะ มึนตึบในแต่ละวัน ถ้าอยู่แต่บ้านก็ค่อยยังชั่ว มีภาษาไทยพูดกับลูก ภาษาอังกฤษปนไทย กับสามีคะ
<span style='color:green'>กำลังใจ จากใครหนอ ขอเป็นทาง ให้ฉันได้ไหม</span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
แก้วเจ้าจอม
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 165
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 12:18 pm

โพสต์โดย mnanta » ศุกร์ พ.ย. 24, 2006 8:11 pm

ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มที่จะชินกับที่นี่ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจค่ะ
<span style='color:red'><b>พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์</b></span><br>...........<br><b><span style='color:blue'>...ผู้ประทุษร้ายมิตร... <br>บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่มเงาต้นไม้ใด ไม่ควรหักกิ่งต้นไม้นั้น<br>เพราะผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทราม...</span></b>
ภาพประจำตัวสมาชิก
mnanta
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 393
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 4:43 pm

โพสต์โดย aorangelus » ศุกร์ พ.ย. 24, 2006 9:21 pm

คุณนุชอย่าเพิ่งท้อนะ พี่มาอยู่ที่กรีซก็เจอปัญหาเดียวกับคุณนุชค่ะ ป้ายเป็นภาษาเค้าหมด
ไม่มีภาษาอังกฤษเลย ถ้าไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวนะคะ คนที่นี่ก็เรียนกันน้อยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย จะมีก็พวกที่ต้องทำงานหรือเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวก็พอพูดได้งูๆปลาๆ
สำเนียงเค้าก็เป็นอังกฤษแบบกรีกค่ะฟังค่อนข้างยาก พี่ก็หนักใจเวลาคุยกับพ่อแม่ของสามีเพราะว่าท่านก็อยากให้เราสื่อสารกับท่านได้ ท่านก็ดีนะคะพยายามพูดอังกฤษกับเราแต่คนแก่น่ะจะพูดได้สักกี่คำเชียวก็เห็นใจท่านค่ะ
อาหารที่นี่ก็หนักไปทางมันๆค่ะ เพราะทุกอย่างกระหน่ำใส่น้ำมันมะกอกเหมือนมีโรงงานเอง
แต่เรื่องอาหารไม่ค่อยเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพี่เพราะว่าพี่ทานจืดอยู่แล้วก็ไม่ค่อยคิดถึงอะไรแซ่บๆมากนัก
ภาษากรีกก็ยากเหมือนกัน บางที่มีตัวสะกดเช่น Ps Fh thr shf ขึ้นต้นเราก็งง ว่าจะออกเสียงไงหว่า
ดีนะที่ภาษาอังกฤษเราดี ไม่งั้นตายเลย นี่ก็พยายามเรียนภาษาเค้าอยู่เหมือนกัน แต่เรียนเองนะคะไม่ได้เข้าคอร์สเรียนเป็นเรื่องเป็นราว ซื้อหนังสือมาอ่านเปรียบเทียบกับภาษาอังกฤษเอาเอง แล้วก็ดูหนังฝรั่งที่มี
แคปชั่นภาษากรีกแล้วก็พอสเอาว่าพูดมาแบบนี้ภาษากรีกพูดยังไง
คุณนุชลองเอาวิธีพี่ไปใช้ก็ได้นะ พี่ว่าลองภาษาง่ายๆดูก่อนแบบภาษพูดน่ะค่ะ
แล้วค่อยๆเรียนรู้ภาษาที่มันยากขึ้น
อย่าเพิ่งไปเกลียดสิ่งแวดล้อมมากนัก พยายามดูเพราะว่ายังไงเราก็ตัดสินใจมาอยู่ที่นั่นแล้วก็ต้องปรับตัวกันไป
รักเค้านี่เน๊อะ พี่เชื่อว่าไม่มีอะไรเกินกว่าความสามารถของมนุษย์หรอกค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ อย่าท้อ เรามาสู้ต่อไป ไอ้มดตะนอยน้องนุช
aorangelus
 

โพสต์โดย อำแดงสวีดา » ศุกร์ พ.ย. 24, 2006 10:21 pm

<span style='font-size:21pt;line-height:100%'><span style='color:red'>มาให้กำลังใจแล้วกันน่ะคุณนุช สู้ ๆ น่ะ</span></span>

คงคล้าย ๆ กันค่ะคุณนุช คนสวีเดนก็ไม่ค่อยพูดอังกฤษเหมือนกัน ไปซือ้ของพนักงานเขาก็พูดสวีดิชกับเราน่ะ เราพอฟังออก แต่ยังไม่เก่งหรอก เราไม่ค่อยกดดันตัวเองน่ะ ปล่อยตามธรรมชาติ ก็พยายามทำตัวให้มีส่วนร่วมเวลามีสังสรรค์กัน เราไม่เคยเบื่อการไปเจอคนที่พูดแต่สวีดิชน่ะ เราชอบ ประมาณว่าไม่รู้เรื่องตรูก็สนุกได้กับเขาทุกที่ 555 เราถือว่าเราได้ฝึกฟังเวลาเขาพูด แล้วเราก็แอบเลียนแบบออกเสียงในใจ
Life is good!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
อำแดงสวีดา
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 409
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 25, 2006 4:09 pm
ที่อยู่: Sweden

โพสต์โดย mnanta » เสาร์ พ.ย. 25, 2006 12:40 am

ของอย่างนี้ต้องใช้เวลาค่ะ อย่าท้อกันนะคะ
<span style='color:red'><b>พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์</b></span><br>...........<br><b><span style='color:blue'>...ผู้ประทุษร้ายมิตร... <br>บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่มเงาต้นไม้ใด ไม่ควรหักกิ่งต้นไม้นั้น<br>เพราะผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทราม...</span></b>
ภาพประจำตัวสมาชิก
mnanta
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 393
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 4:43 pm

โพสต์โดย มะขาม » เสาร์ พ.ย. 25, 2006 3:12 pm

มะขามอยู่เมืองจีน มีเรื่องให้ shock ได้ทุกวันเลยค่ะ ไม่มีช่วงเกลียดนะคะ มีแต่ช่วงตกตะลึง อ้อ..มะขามชอบเรื่องนี้ของพี่ยายหนูมาก ทำให้มะขามได้หันกลับมามองตัวเองด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
มะขาม
แม่ไข่ตุ๋น พ่อไข่ต้ม
 
โพสต์: 4
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ย. 19, 2006 7:00 am

โพสต์โดย ยายหนู » อาทิตย์ พ.ย. 26, 2006 10:34 am

<span style='color:purple'>นั่นซินะ... ยายหนูยังนึกชมพวกเพื่อนๆที่อยู่ในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษว่าเก่งจริงๆที่อยู่ประเทศเขาได้ .....เรื่องข้างบนนั้นเป็นเรื่องที่ก็อปมาอีกที ไม่ไช่เรื่องของยายหนูหรอก แค่อยากจะเอามาเล่าสู่กันฟัง ....

อย่างที่เคยบอกกันไปแล้วว่า ยายหนูมีความรู้แค่ประถม7 โรงเรียนวัด แต่อาศัยเป็นคนที่มีความมุมานะและมีไหวพริบปฏิภาณดี(ปกติไม่เคยชมตัวเองมีแต่ถ่อมตัวมาตลอด)ทำอะไรก็จะทำอย่างตั้งใจจริง อย่างเช่นภาษาอังกฤษ ตอนเรียนก็เรียนพอใช้ได้ พอจบออกมา(ไม่มีเงินเรียนต่อ)ซื้อตำรามานั่งอ่านเอง แล้วก็สอนลูกสอนหลานซึ่งเรียนระดับมัธยมปลาย(เป็นไปได้)จึงทำให้วิชาที่เรียนมาแตกฉาน

พอไปทำงานที่ฮ่องกงได้ปฏิบัติจริง แต่เป็นพูดกับคนเอเซียด้วยกัน(ฟิลิปปินส์) การออกเสียงจึงไม่ค่อยดีเท่าที่ควร หลังจากกลับมาจากฮ่องกงก็มีโอกาศได้ทำงานซึ่งต้องติดต่อพูดคุยกันชาวยุโรป ภาษาอังกฤษของเราเลยกลายเป็นเก่งไปในสายตาของพวกเขา และเพื่อนๆคนไทยด้วยกัน

แต่เมื่อมีโอกาศได้สนทนากับเจ้าของภาษาจริงๆ(กัปตันชาวอังกฤษ) ภาษาอังกฤษของเราที่ใครๆบอกว่าเก่งนักเก่งหนาขนาดพวกที่จบปริญญายังสูไม่ได้ ก็ต้องหงอย เพราะขนาดตะแคงหูฟังและนั่งจ้องตาแทบไม่กระพริบ ยังฟังไม่ค่อยจะเข้าใจเลย ยอมรับเพราะเรายังไม่ชิน พอคุยหลายๆครั้ง ก็พอจะเข้าใจได้มากขึ้น

กระทั่งได้มาพูดคุยกับคนอเมริกัน 555 งง..วุ้ย..คนอังกฤษกับอเมริกัน นั่งนินทาภาษาของกันและกัน อะไรกันฟ๊ะ....ตูละเง็ง....เขียนเหมือนกันแต่ออกเสียงไม่เหมือนกัน ยิ่งศัพย์แสลงละก็ เฮอะ เฮอะ....

มาอยู่อเมริกา มีพื้นฐานภาษามาบ้างแล้ว ใหม่ๆดูทีวียังฟังไม่รู้เรื่องเลย 1ปีผ่านไปก็ยังงั้นงั้นแหละ...2ปี ดีขึ้นเพราะทำงานนอกบ้านได้พูดได้คุยได้ฟัง

ปัจจุบัน ถ้าจำเป็นจะต้องไปร่วมงานเลี้ยง(อันน่าเบื่อ)ยายหนูจะนั่งเหมือนเป็นใบ้ ฟังเขาน่ะพอรู้ แต่เขาใช้แสลงเยอะ ถ้าเราจะคุยกับเขาบ้าง เราไม่สามารถพูดคุยให้เขาขำหรือหัวเราะได้ ก็เลยทำให้เซ็ง ไม่อยากคุย.... ไปเมืองใหญ่กันสองคน คุณบิลขับยายหนูหลับทั้งไปและกลับ แต่ถ้ามีเพื่อนคนไทยไปด้วยระยะทาง 4-5ชั่วโมงยายหนูคุยไม่หยุดทั้งไปและกลับเลยแหละ....

ยายหนูจึงเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนๆ ที่อยู่ในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ และขอเป็นกำลังใจให้ ไปให้ถึงที่ ที่เราฝันเอาไว้ ถนนชีวิตไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบเสมอไป ฉะนั้นจงทำความฝันของคุณให้เป็นความจริง</span>

<span style='color:red'>คนที่ไม่มีความฝัน คือคนที่ไม่มีอนาคต แค่ฝันเล็กๆ ก็ทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา กระตือรือร้น อยากจะไปให้ถึงความฝันนั้นๆ ถ้าไม่มีความฝันเหมือนคนที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ยอมรับว่ายังมีกิเลสอยู่ก็เราไม่ไช่พระพุธเจ้านี่ </span>

<span style='color:blue'>คุณอ้อเจ้าขา.... เก่งภาษาช่วยแปลให้พี่ยายหนูหน่อยนะเจ้าคะ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงและกำลังท้อแท้ในชีวิต....

ยายหนูซื้อโพสการ์ดนี้มาจากนักเรียนที่ทำเพื่อทุนการศึกษา เมื่อ 4ปีก่อน พยายามอ่านมันบ่อยๆแต่ยังเข้าใจไม่หมด เข้าใจอยู่ว่ามันมีความหมายและเป็นกำลังใจที่ดี จะมีความรู้สึกดีมากๆในทุกครั้งเมื่อได้อ่านมัน....ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ</span>

<span style='color:green'>DON'T QUIT

When things go wrong as they sometimes will,
when the road you're trudging seems all up hill,
When the funds are low,and the debts are high,
And you want to smile,but you have to sigh,
When care is pressing you down a bit,
Rest if you must,but don't you quit.

Life is queer with its twists and turns,
And many a failure turns about,
When he might have won had he stuck it out,'
Don't give up though the pace seems slow,
You may succeed with another blow.

Success is failure tuened inside out,
The silver tint of the clouds of doubt,
And you never can tell how closw you far,
So stick to the fight when you're hardest hit,
It's when things seem worse,
that you must not quit.</span>
ภาพประจำตัวสมาชิก
ยายหนู
แม่ไข่นกกระทา พ่อไข่จะละเม็ด
 
โพสต์: 2789
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 15, 2006 11:54 pm

โพสต์โดย อำแดงสวีดา » อาทิตย์ พ.ย. 26, 2006 10:57 am

<span style='color:green'>คนอเมริกัน หรืออังกฤษแท้ ๆ นี่พูดแสลงกับสำนวนกันเยอะน่ะค่ะ ก็คงเหมือนเวลาเราคนไทยคุยกันมั้งค่ะ เข้ามายกมือสนับสนุนยายหนู ว่าการศึกษาไม่มีที่สิ้นสุด มีเรื่องให้เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต เพราะส่วนตัวหนูก็เป็นคนที่กระหายที่จะเรียนรู้ และมีความฝัน พอมันเป็นจริงก็เริ่มฝันที่ใหญ่ขึ้น ๆ เรื่อย ๆ 555 (อยากรู้ว่า อยากลองอ่ะ เวลาชนะตัวเองในแต่ละเรื่องได้แล้วมันสะใจ)

จริงส่วนตัวก็แอบปลื้มยายหนูอยู่ในใจ เพราะสู้และเป็นหญิงเก่งค่ะ</span>

<span style='color:gray'>ไม่รู้จะพูดอะไรกับคุณนุชอีกแล้ว พูดได้อีกทีก็ สู้โว้ยล่ะค่ะ 555 คนไทยเก่งเหมือนปลาค่ะ แค่มีน้ำให้ว่ายปล่อยลงเดี๋ยวก็ได้ค่ะ</span>

I AM LEARNING


I am learning the art of listening. &nsbp; &nsbp;
I wish to be an eternal student.
I am learning the art of believing.
I wish to be an eternal believer.
I am learning the art of serving.
I wish to be an eternal servant.
I am learning the art of becoming.
I wish to be &nsbp; &nsbp;
The father of my silver dreams.
I wish to be &nsbp; &nsbp;
The son of my golden realities
---------------------------------------------


Learning is not enough.
Becoming is not enough.
Self-giving is enough &nsbp; &nsbp;
More than enough.

...............by Sri Chinmoy
Life is good!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
อำแดงสวีดา
แม่ไข่ดาว พ่อไข่เจียว
 
โพสต์: 409
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 25, 2006 4:09 pm
ที่อยู่: Sweden

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง คุยกันเจ๊าะแจ๊ะ

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน