เธอคิดเงินผิดๆถูกๆ 3ทุ่มเป๊ะแฟนมารอรับ บางวันขอกลับก่อนเวลา ล่าสุดผิดสังเกต ก่อนหน้าวันนั้นเราขายได้ 1000 เศษ แต่วันนี้ยุ่งมากกว่าทำไมได้แค่ 800 ทิปรวมที่เคยได้ 60-70 วันนี้ได้แค่ 27เหรียญ เลยเกิดการเช็คขึ้น บิลจำได้ว่าเธอยักยอก เลยให้เธอออก เธอไม่ได้แก้ตัวอะไรยอมออกไปด้วยดี....
เราจึงตกลงกันว่าถ้ารับคนใหม่เข้ามาจะไม่ให้ยุ่งเรื่องเงิน ส่วนผู้ช่วยในครัวจะพยายามฝึกอุษาอีกครั้ง...และหน้าที่ของคนใหม่นี้คือผู้ช่วยทั่วไป โดยบิลจะดูแลเรื่องเงินคนเดียว
คนนี้ชื่อ"แคซซี่"อายุ 19 เรียนมหาลัยแล้ว พ่อแม่เป็นครู เธอทำงานดีจะถามทุกครั้งที่เธอว่างว่ามีอะไรให้ช่วยหรือทำต่อไปอีกไหม...4วันผ่านไป ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีส่วนใหญ่แคซซี่จะอยู่ข้างนอก บิลจะเข้าๆออก เราคิดว่าคงจะออกไปคิดเงินลูกค้า...
คืนนั้น 3ทุ่มปิดร้านแล้ว แต่ลูกค้าโต๊สุดท้ายกำลังกินอยู่ บิลจึงช่วยอุษาล้างหม้อ ยายหนูก็ทำความสะอาดครัว แคซซี่อยู่หน้าร้าน ....อุษาล้างจานเหลือโหลดสุดท้าย จึงเดินออกไปเช็คดูลูกค้าว่ายังมีอยู่อีกกี่โต๊ะ และช่วยเก็บจานโต๊ะสุดท้ายนั้นเข้ามา ยายหนูจึงบอกบิลให้ออกไปเก็บเงิน ลูกค้าจะกลับแล้ว...บิลละมือจากล้างหม้อ มายืนอยู่หลังประตูโดยแง้มประตูมองออกไปข้างนอก ยายหนูจึงถามว่า คุณให้แคซซี่เก็บเงินเองหรือ ...เท่านั้นแหละ
"ฉันจะเก็บเองได้อย่างไร ในเมื่อยืนช่วยคุณอยู่ตรงนี้"
" ทำไมไม่บอกล่ะว่าให้เธอเก็บเงินเองแล้ว ถ้าบอกฉันแต่แรก ฉันจะได้ไม่พูด"
"ทำไมฉันจะต้องบอกคุณทุกอย่าง คุณน่าจะเดาออก"
"อ้าว..ก็ฉันเห็นคุณเข้าๆออกๆ คิดว่าคุณออกไปเก็บเงิน แล้วอีกอย่างเราคุยกันแล้วไม่ไช่หรือว่าจะไม่ให้เด็กยุ่งเรื่องเงิน คุณจะไว้ใจคนที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานใหม่ไม่ได้ ถ้าเหมือนคนก่อนอย่ามาบ่นให้ฟังนะ แล้วอีกอย่างฉันเหนื่อยที่จะทะเลาะกับคุณ แค่เหนื่อยทำงานก็พอแล้ว"
"ฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน"
"แต่คุณไม่สมควรที่จะมาเสียงดังใส่ฉันแบบนี้ พูดกันตอบกันดีๆก็ได้ "(ร้องไห้)
"บางครั้งคุณก็เสียงดังใส่ผมเหมือนกัน" บิลเริ่มเถียงข้างๆคูๆ แบบบันดาลโทสะอีกยาว จนยายหนูทนไม่ไหว จึงกรี๊ด..แล้วเอากำปั้นทุบโต๊ะสแตนเลสที่ข้างล่างเป็นตู้เย็น 3-4ครั้งแล้วก็ทุบหัวตัวเอง เจ็บใจที่เถียงไม่ทันและพูดภาษา(ด่า)ไม่เก่ง
บิลเห็นเข้ามากอดและขอโทษ ยายหนูร้องแล้วก็ร้องด้วยความเจ็บใจ ร้องเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ข้างในให้ออกมา แล้วคิดทบทวนอยู่ในใจว่าเราเรื่องมากไปหรือเปล่า ก็ปล่าว เสียใจมากจึงเดินออกจากร้านตากฝนพร่ำๆกลับบ้าน...
บิลตามมาถึงบ้านที่หลังยายหนูเพียง 5นาที ยายหนูจึงระเบิดใส่ ระบายทุกสิ่งทุกอย่างเช่น เรื่องรายได้หลังจากหักต้นทุนว่าได้เท่าไร ยายหนูไม่เคยรู้เรื่อง ตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่ถามก็ไม่บอก ทำเหมือนเราเป็นหุ่นยนต์ ตื่นเช้ามา 8โมงก็ไปทำงาน ไม่เคยได้หยุด จนถึง 4-5ทุ่ม เข้าบ้านก็ต้องซักผ้า กว่าจะได้เข้านอนก็ ตี1 ตี2 7โมงก็ต้องตื่นอีกแล้ว
บอกเรื่องเงินให้เรารู้สักนิด ว่าเราได้มากน้อยคุ้มหรือไม่กับการที่เราสองคนต้องเหนื่อยกันขนาดนี้ ถ้าไม่คุ้มเพราะค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส ค่าผูช่วย จะได้หาทางแก้ไขได้ถูก ดีกว่าปล่อยให้เป็นไปแบบนี้ เหมือนขายเพื่อเอาแค่ชื่อเสียง หรือคำชม
บิลบอกว่าไม่มีเวลาทำบัญชี ยายหนูก็ร่ายซ๊ะยาวเลยว่า หลังจากที่ไปซื้อของกลับมาต้องลงบัญชีในทันที แต่คุณกลับ รอ,เก็บไว้ก่อน,เดี๋ยวค่อยทำ ฉันเบื่อคำพูดพวกนี้ คุณจัดเวลางานของคุณเองไม่เป็นต่างหาก สมควรที่จะเอาเวลาว่างมาทำเรื่องบัญชี แต่คุณกลับเอาเวลานั้นไปทำความสะอาดส้วมและอื่นๆ ทำไมไม่เก้บงานเหล่านรชี้ไว้ให้เด็กมันทำ พอเด็กเข้ามางานทุกอย่างเรียบร้อย ถ้าคุณไม่จัดระเบียบตัวเองซะใหม่ ก็จ่ายค่าจ้างฉันมาเลยตามชั่วโมงแล้วฉันจะไม่ยุ่ง จะไม่ถาม และจะไม่อยากรู้ เรื่องกำไรและเรื่องอื่นๆ คิดเสียว่าฉันเป็นลูกจ้างคนหนึ่ง
บิลบอกว่าได้ถ้ายายหนูต้องการ ตั้งแต่พรุ่งนี้จะจ่ายเงินให้เป็นชั่วโมง
เช้าพอเปิดประตู้เข้าร้าน อดไม่ได้ที่จะถามว่า คุณทำงานหน้าร้านกันอย่างไร ใบรับออเดอร์ตัวจริง ก็อปปี้ แล้วก็ใบเสร็จที่ให้ลูกค้า
ปรากฏว่า ไม่อะไรเก็บไว้เป็นหลักฐษนเลยว่า ลูกค้าโต๊ะหนึ่งสั่งอาหารทั้งหมดเป็นเงินเท่าไร เก็บเงินจากลูกค้าเท่าไร ยายหนูเลยถามว่า แล้วอย่างนี้ ถ้าเด็กมันทำเหมือนอย่างคนก่อนจะรู้เรื่องไหม กลับตอบว่า แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไรในเมื่อผมก็ต้องช่วยคุณ
ก็ฉันบอกคุณแล้วไงว่า ไม่ต้องการให้คุณเข้ามาช่วยในครัว ต้องการให้คุณอยู่หน้าร้าน คุยกับลูกค้า คิดเงิน ส่วนรับออเดอร์กับเก็บโต๊ะก็ให้เด็กมันทำ บิลเถียงข้างๆคูๆอีก
ยายหนูโมโหร้องไห้ และเดินออกจากร้านโดยบอกว่าจะไม่ทำอีก จะกลับเมืองไทย ทำไปก็เหนื่อยเปล่า เช้านี้ฝนตกอีก บอลขับรถมาขวางหน้าและเรียกให้ขึ้นรถจะพาไปส่งบ้าน ยายหนูจึงยอมไป
เข้าบ้าน ยายหนูไม่พูด เข้าห้องนอนร้องไห้เสียใจ น้อยใจหลายเรื่อง และบอกว่าฉันขออยู่คนเดียวไม่ต้องถามหรือขอโทษหรือพูดอะไรทั้งสิ้น
บิลบอกว่าได้ แต่ขอร้องสองอย่างคือ ถ้าโมโหห้ามทำร้ายตัวเอง ให้ทำร้ายที่ตัวเขาแทน เขาไม่อยากเห็นยายหนูเจ็บ พูดแล้วบิลก็ร้องไห้ อีกข้อเขายอมรับว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้น เป็นเพราะหัวสมองแก่ๆซึ่งทำงานไม่คล่องของเขาเอง และที่เถียงก็เพราะกลัวเสียหน้า ยอมรับว่าที่ผ่านเขาผิดทั้งหมด...วันนั้นบิลจึงกลับไปร้านปิดป้ายว่า "ป่วย"
เช้ามา ลูกค้าถามว่าป่วยเป็นอะไร บิลบอกว่าไม่ได้ป่วยหรอก แต่เหนื่อย เวลาพักไม่พอ เพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วหยุดก็ไม่ได้พักต้องไปซื้อของที่เมืองใหญ่ออกแต่เช้ามีดกว่าจะกลับขนของเสร็จก็เที่ยงคืนกว่า ลูกค้าซึ่งเป็นหมอบอกว่า "tired comes with success"
วันที่ปิดร้านนั้น ยายหนูคำนวนจากของที่ทำขาย ของใช้ต่างๆ และรายจ่ายต่างๆแบบคร่าวๆ ของเดือนที่แล้ว
อาหารสดแห้งต่างๆรวมทั้งกล่องโฟม 6,000
ค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟประกันค่าแก๊สโทรศัพย์และอื่นๆ 3,000
ผู้ช่วยในครัว 2,000
ผู้ช่วยหน้าร้าน 1,000
รวม 12,000
ขายได้เฉลี่ย วันละ 900X24
21,600-12,000 =9,600
นี่ไม่ได้คิดค่าของที่ลงทุนไป เช่น พวกโต๊ะเก้าอี้เครื่องทำน้ำแข็งและอื่นๆอีกหลายรายการ
เพื่อนๆคิดว่าคุ้มค่าเหนื่อยไหม ยายหนูกำลังสับสน จะขึ้นราคาอาหารอีกสักหน่อยจะดีหรือไม่ จานละเหรียญ วันละ100จานก็ 100เหรียญ เดือนหนึ่งก็เกือบสามพันแล้ว ทุกวันนี้หลายคนพูดว่าอาหารที่ร้านอร่อยแล้วก็ถูกด้วย หรือว่าจะลดปริมาณลง เพราะบิลบอกว่าหลายคนกินไม่หมดต้องขอกล่องใส่กลับบ้าน (หรือว่าไม่อร่อยกยว๊ะ)หรือว่ารายได้เท่านี้ก็พอแล้ว แต่ถ้าเราจ้างคนเพิ่มเพราะยายหนูจะได้หยุดพักบ้างก็ต้องหดไปอีก 2000-3000.. จะเอาไงดี ตี 1ครึ่งแล้ว ไปนอนล่ะนะ กู๊ดไน้ท์จ้า...
เอาหลักฐานของความโมโหมาให้ดู ที่ทุบโต๊ะ ตื่นขึ้นมาข้อมือบวมทั้งสองข้าง วันนี้เป็นวันที่สองเขียวเลยสมน้ำหน้า
